วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

#3 First time ! First time everywhere !!!

สวัสดี วันที่ 9 ก.พ. 2557 .....

        จากการวางแผน ในตอนแรกสุดนั้น ที่เกือบจะวางแผนไม่ทัน มาปั่นกันเอาตอน อาทิตย์สุดท้าย ก่อนจะเดินทาง ในที่สุด ก็ได้แผนการเดินทางของแต่ละวันมา ซึ่งเราจะเอามาเป็น แนวทางให้ดูในแต่ละวันด้วย ว่าที่วางแผนนั้น เป็นยังไง และเวลาไปจริงๆ นั้นสามารถไปตามที่วางแผนได้หรือเปล่า เรามาดูที่วางแผนของวันนี้กันไว้ก่อน


        แหม่... ช่างเป็นแผนที่ดูเรียบง่ายอะไรขนาดนี้ ดูสบายตาซะจริง (จริงๆ คือ เมิงไม่มีรายละเอียดอะไรเลยมากกว่า) วางแผนกันได้แบบคร่าวๆที่สุดใน 3 โลก รถไฟเวลาไหน แทบจะไม่บอก ออกประตูไหน อย่างไร แรกๆก็ฟิต หามาใส่ หลังๆ แทบไม่มี สรุปว่าถึงเวลาก็ได้ไปคลำ สายรถไฟ สถานี ทางออกกัน ขณะนั่งอยู่บนรถไฟนั่นเอง ไม่พอ ออกมายังจะต้องวิ่งหาแผนที่กันให้เร็วที่สุด เพราะต่อให้รู้ว่าต้องออกประตูไหน ก็ยังหากันไม่เจออยู่ดี เพราะสถานีนึงนี่ใหญ่มวากกกกกก บางทีเดินวนกันหลายนาทีกว่าจะออกมาได้

*********************************************************************************

        ย้อนกลับมาที่วันแรกในญี่ปุ่น เข้าสู่โหมด Emotion บันทึกความทรงจำด้วยอารมณ์ที่รู้สึกตอนนั้น หลังจากไม่ได้นอนครบ 24 ช.ม. ตี 5 ของวันที่ 9 ก.พ. 2557 นั้น สถานีรถไฟใต้ดิน สถานี "Haneda Airport" ก็เปิดขึ้นมา เราจึงรีบเดินไปที่เครื่องขายตัวอัตโนมัติเพื่อซื้อตั๋ว สาย "Keikyu line" ตามที่ไปมั่วภาษาอังกฤษกับพนักงาน Information มาก่อนหน้านี้ ระหว่างต่อแถวก็ทึ่งอยู่กับสิ่งต่างๆรอบตัว ภาษาญี่ปุ่น ภาษาญี่ปุ่นเต็มไปหมดเบยยยยย เครื่องซื้อตั๋ว ก็โคตรเทพ ใครรีบๆ นี่กำเหรียญ เขวี้ยงเข้าไปได้เลยนะครัช มันทอนถูก เทพมาก (แต่อยู่ที่โน่นตั้งนาน ก็ไม่เห็นใครเค้าทำกัน แต่ลองทำเองแล้วได้) หลังจากมั่วอยู่กับการซื้อตั๋วอยู่ซักพัก ก็ได้ตั๋วมาในที่สุด เราจะเดินทางจาก Haneda Airport ไปที่ Asakusa แบบรวดเดียวจบ โดยเสียค่าโดยสาร 640 yen ซึ่งคิดแล้วก็ไม่แพงเท่าไร



รูปร่างตั๋วกระดาษ ธรรมดา แต่เครื่องแม่มเทพมาก ไม่รู้บันทึกข้อมูลไว้ตรงไหน แต่เสียบเข้าไปแล้ว อ่านรู้เรื่อง



จากนั้นก็ได้พบกับรถไฟใต้ดินญี่ปุ่น ครั้งแรก แบบว่า สุดยอดดดดอ้ะ  สายเยอะโคตร ขนาดศึกษาก่อนมาแล้ว เอาเข้าจริงยังมีแบ่งด้วยว่าถ้าไปสถานีนี้ ให้นั่งโบกี้ไหน สำหรับบางสาย แต่บางสายนั่งโบกี้ไหนก็ได้เหมือนกัน ที่ชานชาลาจะมีบอกว่าถ้าไปลงสถานีนี้ต้อง นั่งสายไหน โบกี้อะไร ซึ่งจะมีบอกทุกสถานีนะครัช สำหรับเรา ไปลงที่ Asakusa ก็ไปที่ ชานชาลาที่ 2


แค่เสาก็ญี่ปุ่นแล้วนะครัช Amazing in Japan สุดๆ


แผนที่ของสายรถไฟ และแผนที่ของ สถานี แบบแยกชั้น ละเอียดมาก พึ่งพาได้สุดๆ ไม่ได้แผนที่พวกนี้คงวนอยู่รถไฟใต้ดิน ที่ละหลายรอบเลย


และในที่สุด ก็ได้ขึ้นรถไฟใต้ดินของญี่ปุ่น ครั้งแรกของ การซื้อตั๋วรถไฟ และ การขึ้นรถไฟใต้ดินของญี่ปุ่น เริ่มแล้ว ณ บัดนี้ !! ตี 5 ก็มีคนมารอคิวเยอะแล้วเหมือนกัน ทำให้ออกไปเดินชมนกชมไม้ไม่ได้เท่าไร เพราะต้องรอคิว ที่นี่ คิวชัดเจนมาก แทบไม่มีคนแซงให้เห็นเลย สุดยอดจริมๆๆ ช่วงนี้เริ่มหมดพลังงาน หลังจาก ต้องทนนั่งข้างอิเจ๊ ไหนจะไม่ได้นอน ไหนจะลุยหิมะ ลากกระเป๋า คุยภาษาอังกฤษ เริ่มรู้ซึ้งถึงความง่วงขึ้นมาแล้ว แต่ยังมิวาย จะกดชัตเตอร์อยู่นั่น (มารู้ทีหลังว่า บางที่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป แต่เราไม่เห็นสัญลักษณ์ ห้ามถ่ายนี่นา แถมยกกล้องก็ไม่เห็นมีใครว่า เลยคิดว่าถ่ายได้แหละเนาะ ใครไปก็ระวังกันด้วย)



ป้ายบอกสถานี อาจจะด้วยที่นี่เค้าใช้ รถไฟใต้ดินกันมาหลายสิบปีแล้ว ก่อนหน้าบ้านเรานานมากกก รถไฟ จึงมีตั้งแต่รุ่นเก่าๆ ที่ป้ายบอกสถานีเป็นแบบ กระดาษ ไปจนถึงหน้าจอไฮเทคเลยก็มี


บรรยากาศง่วงๆ ในรถไฟตอนเช้า

รถไฟที่นี่วิ่งจากใต้ดินบ้าง ขึ้นมาบนดินบ้าง ให้พอเห็นวิวทิวทัศน์ในเมือง พอให้ตื่นเต้น แล้วก็วิ่งกลับใต้ดินต่อ ผ่านไปซักประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงสถานีจุดหมายปลายทาง Asakusa ของเราแล้วซึ่งที่ Asakusa นี้ มีสถานีที่ชื่อเหมือนกันอยู่ 2 สถานีใหญ่ๆ คือของรถไฟ Toei line กับของที่เป็น JR line นะครับ สำหรับที่พักเรา Khoasan Samurai ต้องไปลงของ Toei line จะใกล้ที่สุด ไปลงของ JR นี่เดินขาลากกก ซึ่งครั้งแรกเราไม่รู้ แต่ครั้งต่อมา เราก็หลงไปสถานี JR บ้างทำให้รู้ในที่สุดว่ามันมี 2 อัน เดินกันตาแหก หลังจาก ง่วงจนเริ่มหมดไฟ โตเกียวมาราธอนของจริงก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังจาก ท่านทั้งหลายก้าวออกจากรถไฟ


หลังจากลงจากรถไฟ

        สิ่งที่ต้องทำแทบทุกครั้งตอนอยู่ญี่ปุ่น และลงจากรถไฟคือ ถามอ็อฟว่า ออกทางออกไหนวะ และจะมีการเปิดโพย ดูแทบทุกครั้ง เช่นแผนที่ของที่พัก ต้องออกประตู A2 ซึ่งพอมาดู แม่มมี A2a ,A2b อีก  ลงจากรถไฟมา ก็ต้องหันไปหา ทางออก 2 อยู่ไหนวะ บางทีแม่มไม่มีอีก เอิ่ม สรุปคือต้องเดินขึ้นไปซักชั้นนึงก่อน ถึงจะเจอว่าไอทางออกนี้อยู่ไหน เพราะงั้น เวลาทำไรไม่ถูกก็เดินตามคนอื่นเค้าไปก่อนนะครับ ขึ้นไปอีกชั้น จะมีแผนที่ หรือไม่ก็ป้ายบอกทางบอกอยู่แน่นอน เล็งดีๆ หาไม่เจอจริงๆ ก็ถามพนักงานเลยครับ เค้าเต็มใจช่วย spirit ในการทำงานเจ๋งมากๆ
        ออกมาแล้ว หาทางออกเจอแล้ว ก็จ้ำกันไปคนญี่ปุ่นเดินไว ส่วนเราก็ลากกระเป๋า 1 ใบ สะพายกระเป๋าใหญ่ๆ อีก 1 ใบ ขาตั้งกล้องอีก เดินไปจนถึงป้ายชี้ทางออก แล้วก็พบกับ ด่านทดสอบแรกของญี่ปุ่น โอ้วววว แม่มม ไม่มีบันไดเลื่อน นี่กรูต้องลากกระเป๋าหนักๆ เดินขึ้นบันไดเองหรอวะ (คิดในใจ หรือ ญี่ปุ่นสนับสนุนให้คุณออกกำลังกาย .... ได้ทุกที่) อ่ะจะ เดินก็เดิน ก็แม่งทางออกอยู่นี่ให้ไปไหนได้ล่ะ ไปทางออกอื่นก็กลัวจะหลง เอาวะ คงนิดเดียวแหละ เค้าถึงไม่มีบันไดเลื่อน เดินไป 1 ชั้นผ่านไป เออ.. ยังมีอีกชั้นแฮะ สองชั้นผ่านไป เห้ย ยังมีบันไดอีกหรอวะ เห้ยยยนี่ต้องขึ้นไปอีกถึงเมื่อไรวะเนี่ยยยย ขึ้นไปอีกประมาณ 2 ชั้น ในที่สุดดด แสงที่ปลายอุโมงงงงค์ ถึงแล้วโว้ยยยยยยย ขึ้นไปก็คุ้มกับที่เหนื่อยมา เพราะว่า..... หิมะะะ หิมะเต็มไปหมดดดเลยย ถึงจะเคยเห็นตอนลงเครื่องบินแล้วก็เถอะ แต่นั้นมันไม่มีเวลา แต่ตอนนี้จะทำไรก็ได้ จะกลิ้งก็ได้ จะหยิบก็ได้ ได้หมด โคตรตื่นเต้น แต่หลังจากลงไปเหยียบก็พบว่า หิมะ ที่ตกนานแล้ว แม่มก็ต้องละลาย เปียกจ้าาาาาา แถมโคตรลื่นนน แต่ก็สวยอยู่ดี และก็ยังมีพวกที่ยังไม่ละลายอีก


ไป Khoasan Samurai ออก A2a นะครัช



บันได บันไดเต็มไปหมดเบยย


ทางเดินที่ทั้งสวย และโคตรลื่น



หิมะของจริง !!



วิวระหว่างทางเดินไปที่พัก

ออกมานอกจากหิมะแล้ว บ้านเมืองเค้านี่แบบว่า สวยมากก ดูเป็นระเบียบ (หรือเราคิดเองวะ) เดินไปทางไหนก็มีอะไรน่าดูไปหมด เพราะนี่คือครั้งแรกในแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินมาแล้ว มาถึงที่นี่ ทุกอย่างจึงดูน่าสนใจไปหมด ดูนั่นสิ !!! นั่นเรื่อญี่ปุ่นล่ะ ดูนั่นสิ !!! นั่นทางด่วนญี่ปุ่นล่ะ ดูนั่นสิ !!! นั่นแม่น้ำ นั่นสะพาน นั่นสาวญี่ปุ่น นั่นป้าแก่ๆ นั่นคนขี่จักรยาน นั่นรถตัก โน่นนั่นนี่ รัวๆ นี่แทบจะกดชัตเตอร์ไม่ยั้งแล้ว ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นการรีวิว จะลงรูปแม่งให้ทุกรูปไปเลย แต่ถ้าเป็นแบบนั้น คงอ่านกันตาแหก และไม่จบซักที เลย ลงแค่คร่าวๆพอให้น่าสนใจ ส่วนใครอยากดูแบบจัดเต็ม ก็เข้าไปดูในอัลบั้ม Facebook ได้นะครัช จากนั้น เราก็ลุยกันต่อ โดยต้องใช้วิชาตัวเบา เดินบนหิมะ เพราะแม่มลื่นจัดๆ เห็นรอยเท้าใครก็เดิมตามไว้ดีกว่า เพราะบางที แหกคอกไปเดินตรงอื่น เปียกได้ง่ายๆนะครัช เดินกระย่องกระแย่ง กันไปตามแผนที่ ก็พบว่าผังเมืองที่นี่ดูง่ายมาก เดินออกมานี่ ดูว่าทางออกเราอยู่ไหน แล้วก็เดินตามได้เลย แยก นี่เป๊ะๆๆ เดินได้เหมือนดั่งมี GPS เดินไปซักพัก ไม่นานก็ถึงที่พัก


ถ้าไป Khoasan Samurai เจอสะพานฟ้า ก็จะไม่หลงแล้ว


หิมะระหว่างทาง


ตกหนักสุดในรอบหลักสิบปี จำไม่ได้ว่า 20 หรือ 30 เพราะคนที่บ้านเพิ่งมาบอกตอนหลัง



ที่พัก มองเห็น Tokyo Sky tree ได้แบบชัดแจ้งแจ่มแจ๋ว


ถึงแล้วววว Khoasan Samurai

        ที่พักที่เป็น Hostel ส่วนใหญ่ จะเปิดประมาณ 8 โมง (หมายถึง Staff เริ่มเปิด Office) ซึ่งตอนนั้นเรามาถึงที่พักประมาณ 7 โมง ยังไม่มี Staff มาทำงาน แต่เราก็โชคดีที่เริ่มมีแขกบางคนออกเดินทาง เราจึงได้เข้าไปหลบหนาวในที่พักได้ วางของปุ๊ป ได้ที่นั่งปั๊ป วาร์ปจ้าาาา หลับแบบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้มีใครเห็นบ้าง ซักพัก เริ่มปวดท้องอยากจะไปส่งแฟกซ์ จึงตื่นมาก่อน และไปหาห้องน้ำ หลังจากไม่ได้ปลดปล่อยมานาน ซึ่งการมาต่างประเทศครั้งแรกทำให้รู้ว่า กินก็เยอะ แต่ออกน้อยมาก ไม่รู้มันหายไปไหนหมด ไม่เข้าใจ เข้าห้องน้ำไป ก็พบกับความ Amazing ที่เค้าร่ำลือกัน ส้วม Auto ที่แม่งทำทุกอย่างได้เพียงแค่กดปุ่มขนาด Hostel แบบเล็กๆ ยังมีส้วมแบบนี้เลย (ตอนหลังมารู้ว่ามันมีทุกที่) ตอนนั้นก็แบบ โอโห ตื่นเต้นจ้า กดปุ่มแม่งรัวๆ มั่วไปหมด มีแบบฉีดน้ำอุ่น เปิดเพลง กลบเสียง โน่นนั่นนี่เต็มไปหมด กดจนพอใจ ออกมา ก็พบว่า Staff มาแล้ว จึงไปทำเรื่อง จ่ายตังค์ค่าที่พัก และ เตรียม Check in สภาพตอนนั้นแบบ เพลียสุดๆ อยากนอนโคตรๆ แต่แล้วก็มาได้รู้ความจริงอันโหดร้าย คือ กว่าเราจะเข้าห้องนอนได้ ต้องเป็น บ่าย 3 ขึ้นไป เพราะเวลา Check-in คือตอน บ่าย 3 ง่วงยังไงก็ต้องทำตามกฏนะครัช แต่พนักงานที่นี่ก็
เฟรนลี่ น่ารักมากๆ บอกว่าให้เราใช้อย่างอื่นได้ตามสบายเลย ห้องอาบน้าม โน่นนี่นั่น ได้หมด เราเลยตกลงกันว่างั้นก็ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ออกไปลุยให้สุดละกัน ไปเลย ออกไป Asakusa เพราะเราเห็นว่าทางที่พักมีให้บริการ Wifi พกพาด้วย แต่ต้องไปที่สาขา Laboratory ซึ่งห่างออกไปพอสมควร ก็เลยถือโอกาศ เดินชม Asakusa ซะเลย แล้วเดี๋ยวบ่าย 3 ค่อยกลับมานอน สลบอีกรอบ ถาม Staff ถึงที่กินข้าวอะไรพร้อมแล้ว ก็เตรียมลุยยยย

ออกเดินทางสู่ Asakusa (ก็อยู่ Asakusa อยู่แล้วนี่หว่า)

ที่โตเกียว ตอนเช้าจะหาร้านกินยากมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นร้าน Fast food ที่เปิด 24 ช.ม. อยู่แล้วมากกว่า
เช้าแล้วเริ่มมีคนออกมาเดิน
ที่นี่ พรีอุส เป็น Taxi นะครัช
ตู้หยอดเหรียญที่พบได้ทั่วไป

ในโตเกียวแทบทุกย่าน ส่วนใหญ่กว่าร้านจะเปิดจะเริ่มประมาณ 9 โมง เป็นต้นไป 9 โมงนี่คือเร็วแล้วนะครับ 10 โมงถึงจะเริ่มเปิดกันจริงจัง อย่างวันแรกที่ไป ออกจากที่พักประมาณ 8 โมงครึ่ง ก็ได้เดินวนเกือบรอบเมือง

        ใครที่ไม่ได้เช่า Wifi มา ก็อาจจะทำแบบเราก็ได้หากพักที่ Khoasan เค้าจะมีให้เช่า Wifi โดยเป็น Smart Phone ให้เราเอามาปล่อย Wifi เอาเอง เพราะฉะนั้น สิ่งจำเป็นอีกอย่างที่แทบขาดไม่ได้เลย คือ Power Bank เพราะว่า นอกจากจะต้องชาร์จมือถือเราเองแล้ว ยังต้องเอามาชาร์จมือถือ เครื่องที่ปล่อย Wifi ด้วย แม้จะดูลำบาก แต่ก็แลกมาด้วย ราคาที่โคตรถูก คือเช่าวันละ 500 เยน ถ้ามากันซัก 5 คน ก็หารกันเหลือวันละ 100 เยนซึ่งถูกมาก ในกรณีของเรา มากัน 2 คน เหลือวันละ 250 เยน ยังโคตรจะถูกเลย เล่นได้รัวๆ 4G LTE unlimit ซึ่งเน็ตโคตรที่จะแรง คุ้มมากๆ เลยเช่ามาเลย 6 วัน เสียค่ามัดจำเครื่อง 10,000 เยนซึ่งก็ถูกอยู่ดี ถ้าจะขนโทรศัพท์กลับบ้านไปด้วยเลย (แหม๊ ล้อเล่นนะอันนี้ อย่าทำตามล่ะ) โดยสามารถไปเช่าได้ที่ Khoasan Laboratory และ Khaosan Original หลังจาก เดินเล่น ไปเช่า Wifi เสร็จ ก็หาร้านที่เปิด เนื่องจากโคตรหิว ก็ไปเจอร้านแถว วัด Sensoji หรือที่เราเรียกว่า วัด Asakusa ซึ่งร้านแถวนี้จะเปิดเช้าหน่อย หากใครมาแถวนี้เช้าๆ ขี้เกียจหาร้านก็หาแถวๆ ประตูวัด ที่นิยมถ่ายรูปกันได้เลย ไม่ต้องเดินไกล ซึ่งร้านที่นี่เปิดตรงเวลามาก เปิด 11 โมงคือต้อง 11 มง ไม่มีเปิดก่อน ต้องรอ 11 เป๊ะ ถึงจะเปิด

มื้อแรกที่ญี่ปุ่น


เนื่องจากกินปลาดิบไม่ค่อยได้ จึงมาต่อที่ Tendon Tenya

หลังจากเติมพลังเสร็จ ก็มีแรงเดินต่อ เปิดตารางดูว่าวันนี้จะไปไหนก็บ้าง Akihabara ก็เป็นเป้าหมายถัดไป เมืองที่อยู่ไม่ไกลจาก Asakusa ต่อรถไฟไปอีกไม่กี่สถานีก็ถึง เมืองแห่งการ์ตูน เมืองแห่งความน่ารัก โมเอะ เมืองที่เต็มไปด้วยตัวการ์ตูนที่เรารู้จักเต็มไปหมด และยังมี Maid น่ารักๆ ยืนขายของเต็มไปหมดรอไม่ไหวแล้ว Go Go Go !!!

       เดินทางจาก khaosan lab เดินลงมา ใต้ดินสถาน Tawaramachi ( Ueno Line )เพื่อไป Akihabara ราคา ¥160 ลงสถานี Suehirocho  ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานี Akihabara หลังจากเดินมาเมื่อเช้า ด้วยความที่ต้องเดินบนหิมะอย่างยากลำบาก หรือว่าเพราะ นั่งบนเครื่องบิน แล้วไม่ได้เหยียดขานาน หรือเพราะต้องนั่งหลบอีเจ๊ ก็ไม่รู้ ทำให้อยู่ๆเริ่มปวดเข่า แรกๆก็ยังไม่เท่าไร แต่เดินต่อไปซัก ช.ม. ถึงขั้นเดี้ยง แนะนำว่าใครจะมา ญี่ปุ่น อย่าลืมพวกยานวด หรือ อะไรก็ตามที่ช่วยบรรเทาเรื่องพวกนี้ได้ ไว้ด้วยนะครับ แต่มีคนบอกว่า มาเที่ยวแบบนี้ มันใช้ใจเดินนนน ต่อให้ขาเจ็บ แต่ถ้าตื่นเต้น เดินได้เฉยเลยยยย ใจ....สู้หรือเปล่าาาาาาาา !!! สู้เซ่ เดินต่อไปอีกเกือบ 3 ช.ม.

        ต่อจากนี้จะเป็นการ อธิบายด้วยรูปกันแล้ววว....



โผล่จากสถานีรถไฟก็เจอร้านแบบนี้ ไม่ผิดแน่ Akihabara เรามาแล้ว

ห้องน้ำยังบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของเมือง

ตึก UDX ตึกที่รวมทุกอย่างเกี่ยวกับการ์ตูน และยังมีพวก ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ด้วย ประเทศนี้เค้าทุ่มเทให้กับการ์ตูนและเกมส์จริงๆ

ที่นี่มีแผนที่ต่างๆให้บริการ รวมถึงแผนที่โตเกียว ของที่ระลึกต่างๆ มานั่งคิด ขณะที่ประเทศเรา เห็นการ์ตูน เกมส์ เป็นเรื่องไร้สาระ ประเทศเค้ากลับทำเงินจากเรื่องพวกนี้ คิดๆแล้วน่าจะเยอะมากๆ ในแต่ละวัน

หนึ่งในการ์ตูนเรื่องโปรด

แวะถ่ายหน้าร้านไม่ได้เข้าไปกินกับเค้าหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ถ่ายเฉยๆ กันดั้มยังเอามาขายอาหารต่อได้ ไอเดียจริมๆ

ตึกของบริษัทเกมส์ การ์ตูน แต่ละตึกใหญ่ๆทั้งนั้น เพลินมาก
สถานี JR Akihabara อยู่ติดกับ AKB48 cafe เลย ออกมาก็เจอเลย
เกมส์ เกมส์ เต็มไปหมดเลย

อันนี้เห็นป้ายโฆษณาน่ารักดี คนทำคงตั้งใจมาก มีแรเงาสีตัวอักษรด้วย



ใกล้ๆ ทางออกสถานี JR Akihabara ก็จะมีตึก Yodobashi ซึ่งขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ของที่ละลึก เกมส์ การ์ตูน อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งที่นี่ คนไทยนิยมมากจน มีประกาศเป็นภาษาไทยเลยทีเดียว ที่นี่ถ้าซื้อของเกิน 10,000 เยน จะได้รับสิทธิ์นักท่องเที่ยวแบบ free vat หรือเหมือนซื้อของที่ Duty free นั่นเอง
สำหรับคนที่ชอบการ์ตูน การเดินในเมืองนี้คงเดินให้ตายก็ไม่เบื่อ เพราะมันมีร้านเยอะมาก แต่ละร้านก็มีรายละเอียด ไม่เหมือนกันอีก ที่ขาดไม่ได้เลยคือ เมืองนี้เป็นที่รวมของ "กาชาปอง" ที่เป็นไข่เล็กๆ ที่เราต้องหยอดเหรียญเพื่อให้ได้ตัวการ์ตูนที่อยู่ข้างใน ซึ่งล่อตาล่อใจมาก นี่หยอดไป 10 กว่าตัว เจอทีไรก็หยอดทุกที เมืองนี้น่าจะเป็นเมืองที่มี กาชาปองเยอะที่สุดแล้วในโตเกียว (กาชาปองนี่มีทุกที่ ทุกเมือง ในสถานีรถไฟยังมีเลย) ตัวดังๆ ก็ไม่พ้นพวก One piece อะไรพวกนี้ เอาเป็นว่าถ้าได้มา ก็มาลองหยอดกันนะครัช 


โฆษณา เจล ใส่ผม ยังเป็น โงกุน ที่นี่ทุกอย่างเป็นการ์ตูนจริงๆ

เรียกมันว่าเครื่องดูดตังค์ดีกว่า โคตรยากเลย
หลังจากเดินแบบโตเกียวมาราทอน กันโดยแบกเข่าที่เจ็บไปจนทั่วแล้ว ก็เริ่มที่จะเดินไม่ไหว เห็นเราใช้คำว่าโตเกียวมาราทอนบ่อยๆ จริงๆ เพราะเวลาที่เราไปนั้น โตเกียวมาราทอน ของจริงกำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่ช้า จึงมีการโฆษณาแทบทุกที่ และด้วยการที่เราไป 7 วันแต่เดินเกือบ 100 กิโล จึงเรียกได้ว่า เราก็ผ่านโตเกียวมาราทอนมาแล้วเหมือนกัน

        เข่าที่เจ็บหลังจากผ่านการเดินมาอีก 3-4 ช.ม. มันเริ่มเรียกร้องใจว่า ใจเมิงสู้ก็จริง แต่กรูเจ็บนะครัช เมิงพักบ้างเถอะ ไม่ได้นอนมา 30 ช.ม.ได้แล้ว เดี๋ยวร่างกายพัง ต่อให้ใจสู้ ก็ไปไหนไม่ได้นะเว้ย จึงตัดสินใจว่า จะบ่าย 3 แล้ว งั้นเรากลับไปนอนพักก่อน เพราะเริ่มจะไม่ไหวกันแล้ว เป็นไงครับเลื่อนขึ้นไปดู แผนที่วางไว้ตอนแรก ยังมีที่ที่ต้องไปอีกเพียบ Shinjuku เอย Harajuku เอย Shibuya บ๊ายบายนะ เราขอไปนอนก่อนแล้ว ไม่เป็นไรเรายังเหลืออีกหลายวัน ไปได้ครบแน่นอน

        จากนั้นเราก็เลยกลับที่พัก โดยนั่งรถไฟสายเดิม แต่ขากลับ เราก็ไม่อยากเดินไปไกล ก็ลงสถานี  JR Akihabara ไปเลย ก็นึกว่ามันจะไม่แพง ก็เห็นใน Map มันมีมา Akihabara แต่เป็น Akihabara สาย JR ก็เลยไปลง Asakusa (TSUKUBA) ราคา !! ¥200 แถมลงไกลกว่าเดิมอีกต่างหาก ไปโผล่แถวๆวัด Sensoji นู้นนนนนนนนนน กว่าจะเดินกลับมาถึงที่พัก ก็ต้องลากเข่าปวดๆ ไปอีกไกล เพราะฉะนั้น ดูสถานีกันให้ดีด้วยนะครับว่าเราต้องลงที่ Asakusa ของสาย Toei line เมือได้เข้าห้องนอน ก็ไม่รู้เรื่องว่าอยู่ๆทำไมตื่นมาอีกทีมันมืดแล้ว งงๆ ว่าวาร์ปมาหรือเปล่า ตื่นมาประมาณ ทุ่มกว่า จึงไปหาอะไรกินแถวๆ วัด Asakusa เหมือนเดิม ต้องบอกว่า อากาศตอนที่มา ไม่เคยเกิน 4 องศา หนาวแบบสุดขั้วตลอดเวลา แต่ที่พักเรามี Heater ซึ่งแบบ สวรรค์มากๆ ก่อนออกไปไหน ต้องคอยดูพยากรณ์ว่าต้องแต่งตัวแบบไหน เพราะพยากรณ์ อากาศแม่นมาก ทำนายกันแบบรายชั่วโมงเลย

สภาพห้องที่กลับมาแบบ โยนๆของแล้วนอนตื่นมาอีกทีก็เป็นแบบนี้

Tokyo sky tree ยามค่ำคืน

TOTORO !!!!! ศิลปะมีอยู่ทุกที่ในญี่ปุ่นจริงๆ

แถวนี้แหละร้านข้าวเยอะนัก

กลางวันคนเยอะ แต่กลางคืนสบายนะครัช ไม่มีคนเลย

ราเมงที่โคตรอร่อย อร่อยแบบ ไม่รู้จะหาแบบนี้ที่เมืองไทยได้หรือเปล่า ถ้าได้มา ต้องลอง !!!
อร่อยมาก แล้วก็เยอะมากๆ ใครกินไม่เก่ง สั่ง Size S พอนะครับ กินข้าวที่ญี่ปุ่น

ร้าน 100 เยน ที่ญี่ปุ่น
สำหรับที่พักนั้น ถือว่าครบมากๆ ทั้งความใกล้สถานีรถไฟ ใกล้ที่เที่ยวใน Asakusa แล้วที่แจ่มมากๆ คือ ใกล้ ร้าน 100 เยน (Lawson) ใครหิวอะไร ก็เดินไปได้ แค่ประมาณ 5 นาทีถึงของส่วนใหญ่จะ 100 เยน ที่ Amazing สุดๆ คือ นวัตกรรมต่างๆใน ญี่ปุ่น เช่นถุงมือที่เอาไว้เล่นโทรศัพท์ได้ แต่ขายในร้าน 100 เยน !!! โอ้วแม่เจ้าา แม่มมมม ถุงมือตีราคาเป็นไทย คู่ละ 30 แถมยังไฮเทค เล่นโทรศัพท์ได้เลย โหดสุดๆ สมเป็นญี่ปุ่นจริงๆ ก่อนกลับ เราเลยไปทัวร์ร้าน 100 เยน ซื้อน้ำซื้อขนมไปตุนไว้ และวันนี้ก็จบลงโดย การได้ไป แค่ Asakusa กับ Akihabara นั่นเองงงงง


ความรู้สึกของวันนี้
- โคตรเจ๋ง ญี่ปุ่นแม่งโคตรเจ๋ง
- ญี่ปุ่นสนับสนุนให้คุณออกกำลังกาย
- หิมะสวยแต่โหด โคตร เล่นเอาน่องโป่ง เปียกอีก
- Asakusa เมืองไม่ใหญ่ แต่มีสเน่ห์
- อยากกินข้าว รอร้านเปิดหน่อยนะ
- มากินปลาดิบถึงญี่ปุ่น ก็ยังกินไม่ได้อยู่ดี
- เทนดอนเทนยะ ที่ไทยยังไม่เคยกินเลย มากินที่ญี่ปุ่นซะเลย
- Staff ข้าวสาร ซามูไร โคตรเฟนลี่
- Staff ข้าวสาร Lab โคตรน่ารัก
- 4G แม่งแรงชิบหายยยยยย
- ขึ้นรถไฟดูสถานีดีๆด้วย ไม่งั้นเดินขาลากนะฮะ
- Akihabara !!!! การ์ตูน การ์ตูนเต็มไปหมดเบยยยยยยย
- Akihabata !!!! เกมส์ เกมส์โคตรเยอะ น่าเล่นไปหมด
- กาชาปอง !!!! เหมือนจะถูกทีละ 200 เยน แต่ไปๆมาๆ หมดไปหลายพันนะครัช
- ตู้หยิบตุ๊กตา เมิงไม่บอกกุล่ะว่ากดได้แค่ 2 ที = =
- ที่ประเทศนี้ นอกจาก การ์ตูนและเกมส์ไม่ผิดแล้ว ยังเป็นตัวสร้างกำไรมหาศาล
- ศิลปะหาได้ตามสถานที่ทั่วไปในประเทศนี้
- ถนนโคตรใหญ่
- ฟุตบาทก็โคตรใหญ่
- Maid น่ารักแสสสสส
- ปวดเข่า แช่น้ำอุ่นช่วยได้
- ราเมงโคตรอร่อย
- ถุงมือ ซื้อแบบ ทัชได้เถอะ จะได้ไม่ต้องถอดบ่อยๆ
- ร้าน 100 เยนของแม่งโคตรเยอะ
- เปิดแอร์ อย่ากดผิด เปิดเป็นแอร์ล่ะ ดูดีๆ ว่าอันไหน Heater เพราะเปิดแอร์ 27 องศายังโคตรหนาว
- เหนื่อยโคตรรรร
- หลับยาวๆๆๆๆ


โอยาสุมินาไซซซซซ อาซาคุสะ !!! 











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น