และแล้ว... วันนี้ก็มาถึง ตื่นตี 4 เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปสนามบินดอนเมือง สนามบินที่ทั้งชีวิตนี้ขับรถผ่านนั่งรถผ่านซัก 1,000 รอบได้แล้วมั้ง แต่ไม่เคยเข้าไปซักที ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เข้าทั้งทีก็บินไปต่างประเทศซะเลย ตื่นตี 4 ทำอะไรเสร็จประมาณ ตี 4.45 ก็ขนของขึ้นรถออกเดินทาง ใช้เวลาไม่นาน 15 นาที จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็ถึงสนามบินดอนเมือง สุขภาพร่างกาย แข็งแรงดีพร้อมเดินทาง เมื่อถึงก็ลงรถ พ่อขับรถไปจอดที่จอดรถ ส่วนเราก็เข้าสนามบินเข้าไป โทรหาอ๊อฟว่าอยู่ไหน เพื่อเตรียมไปเช็คอิน
ในการเดินทางครั้งนี้ อะไรก็เป็นครั้งแรกไปซะหมด ทุกอย่างดูตื่นเต้น เคยแต่ไปส่งเค้าขึ้นสนามบิน แต่ครั้งนี้เป็นเราเองที่เป็นคนเดินทาง อย่าหาว่าเราเห่อเลยนะ บ่องตงงง เราเห่อ ตื่นเต้นกับทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น เช็คอินครั้งแรก เข้าไปก็เอา บอร์ดดิ้งพาส ให้เจ้าหน้าที่ เค้าก็จะตรวจๆ ขอพาสปอร์ท ดูกระเป๋า ชั่งน้ำหนัก ผ่านไปด้วยดี แบบไม่มีอะไรตื่นเต้นเท่าไร นึกในใจ กระเป๋ากรูจะไปถึงที่ใช่ป้ะวะ แต่เอาเถอะ มันไหลเข้าไปตามรางข้างหลังแล้ว คงไม่ทันแล้วที่จะมากังวลอะไรก็ตามประกันก็ทำไว้แล้ว ช่างแม่มมันเถอะเนาะ ทำอะไรทุกอย่างเสร็จปุ๊ป ก็ไปนั่งรอเวลา คนเยอะไปหมด พ่อกะน้องมายืนรอ อยู่ข้างๆเค้าเตอร์ จึงพากันไปหาที่นั่งรอเพื่อรอเวลา Gate เปิด โทรหาแม่ เช็คของโนั่นนั่นนี่ นั่งเล่นเกมรอไปอีกแปป ตอนนั้น flappy bird เพิ่งมาใหม่ๆ ได้มันช่วยฆ่าเวลาได้ดีทีเดียว...
รอไปได้ซักแปปไม่เกินครึ่งชั่วโมง และแล้วก็ถึงเวลา และแล้วเธอก็ต้องไป แหม่ ไม่ใช่ละ Gate เปิดแล้วจ้า ในที่สุดก็จะได้ขึ้นเครื่องบินแล้วเว้ย เครื่องบิน .... หนึ่งในสุดยอดสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา ผู้ชนะต่อแรงโน้มถ่วงของโลกนี้ เครื่องจักรที่แม่งโคตรเท่มากๆ กลับมาต่อที่ ครั้งแรกของการผ่านด่าน ต.ม. แอบกลัวว่าจะไม่ผ่าน แต่ก็ผ่านแบบง่ายดายชิลๆ ผ่าน ต.ม. ก็เข้าไปในส่วนของ Duty free ซึ่งแบบว่า หรูนะจ๊ะ ข้างนอกนี่แม่ม เก่ามาก ข้างในนี้แบบว่า ปูพรม อย่างดี ไฟสว่างไสว ช่างแตกต่างกับข้างนอกจริมๆ
เดินชมนกชมไม้เรื่อยๆในที่สุด ก็ไปถึงเกทที่เครื่องเรารออยู่
ทางเดินใน Duty free
เครื่องมารอเราแล้วววววววว
ในการเดินทางครั้งนี้ ลงทุนเสียตังค์จองที่นั่งข้างหน้าตรงตรงส่วนปีก เพื่อจะได้มีรูปปีกกับเค้าบ้างแต่ก็มีเรื่องพลาดจนได้ ขอเตือนก่อนเลยสำหรับคนไม่รู้นะครับ เอากล้องออกมาคล้องเลย ถ้าอยากจะถ่ายรูป นี่เอากล้องไว้ในกระเป๋า ด้วยความไม่เคยขึ้นเครื่องบิน เดี๋ยวจะเล่ากันต่อไป ก่อนขึ้นเครื่องมีการตรวจพาสปอร์ท กับ บอร์ดดิ้งพาส กันอีกครั้งในที่สุด ก็ได้ขึ้นเครื่องแล้วแจ้ ขึ้นไปก็แบบ โอ้วนี่สินะ เครื่องบิน ชั้นประหยัด แคบจุง เดินไปจนถึงที่นั่งที่จองไว้ รีบวางกระเป๋าอย่างไวบนที่วางกระเป๋า นั่งลงข้างหน้าต่างด้วยความตื่นเต้น ผู้โดยสารคนอื่นเดินตามเข้ามา หันไปหาปีก นี่แหละ มุมที่รอคอย นึกอีกที กล้องกุอยู่ไหน เฮ้ยย แม่งง กล้องอยู่ในกระเป๋าาาา เอาแล้วไง นี่แหละที่บอกให้หยิบกล้องออกมาก่อนเลยนะครับบ เพราะว่าพอจะลุกออกไปหยิบ โดนแอร์ดุ เพราะผู้โดยสารคนอื่นเค้าก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ การที่เราจะออกไปหยิบกล้องมันจะขวางคนอื่น
แอร์ : มีที่นั่งของตัวเองยังคะ
เรา : มีแล้วครับ
แอร์ : (ทำหน้าดุนิดๆ) งั้นเชิญนั่งด้วยค่ะ
เรา : มีแล้วครับ
แอร์ : (ทำหน้าดุนิดๆ) งั้นเชิญนั่งด้วยค่ะ
เรา : ครับ T^T
อดจ้ะ นั่งคิดในใจทำไงดีวะ หรือเราจะพลาด อดถ่ายรูปซะแล้ว เซ็งเว้ยยยย นั่งลุ้น คิดในใจว่า เดี๋ยวมันต้องให้เราไปห้องน้ำสิวะ แล้วมาดูกันว่าตอนนั้นเราจะแอบหยิบกล้องได้มั้ย ตัดมาที่เครื่องขึ้น กินหมากฝรั่งรอ กลัวปวดหู กัปตันกล่าวสวัสดี บอกพร้อมจะเอาเครื่องขึ้นแล้ว เครื่องบินเริ่มขยับ แอร์ ไปยืนประจำที่ เพื่อ แสดงว่าต้องทำไงบ้างเวลามีเหตุการณ์ฉุกเฉิน ก็นั่งดูกันไปเพลินๆดี และแล้ว เครื่องเร่งความเร็ว เร็วขึ้นๆๆๆๆๆ ในที่สุด ก็ยกตัวขึ้น โว้ววว อยากเห็นคนไทยบินได้ บินแล้วโว้ยยย ในที่สุด เราก็บินได้แล้ว (แหม่ มรุงจะตื่นเต้นไปไหนครัช) ภาพตอนที่เครื่องขึ้น สวยมาก(แต่ไม่มีกล้อง ซึ่งจริงๆเค้าก็ห้ามใช้เครื่อง Electronic ตอนเครื่องขึ้นเหมือนกัน) เมืองค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ เครื่องบินเลี้ยวขวา ทำให้มองเห็นภาพข้างล่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สวยจับใจ ..... แต่ไม่มีกล้องอีกแล้ว ผ่านไปซักพัก สัญญาณไฟรัดเข็มขัดดับลง ฝรั่งคนนึงผุดตัวลุกขึ้นยืน เราก็มองไปพอดี เฮียแกก็เปิดที่เก็บของหยิบกระเป๋าลงมาเพื่อ เอาหนังสือมาอ่าน ตอนนั้นแบบว่า ...... เยสสส แม่งเปิดได้เว้ยยยย แม่งเอาของลงมาได้ ก็เลยรีบไปห้องน้ำ และกลับมาหยิบกล้อง และในที่สุด ............. ภาพที่ฝันมานาน ก็มาอยู่ในกล้องนี้แล้ว

ได้มาแล้วในที่สุด น้ำตาจะไหลขอแชร์นะเคอะ :D
จากนั้นก็กดชัตเตอร์กันรัวๆ คนอื่นหลับหมด มีไอบ้านี้ตื่นเต้นกับการขึ้นเครื่องครั้งแรกอยู่คนเดียว ยังไม่ทันหายตื่นเต้น กัปตันก็ประกาศว่า อีกไม่นาน เราจะถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศ มาเลเซียแล้ว ผ่านไปอีกแปป สัญญาณรัดเข็มขัดก็ติดขึ้นอีกครั้ง กัปตันประกาศว่าเราพร้อมจะเอาเครื่องลงแล้ว และแล้วเราก็มาถึง มาเลเซีย...
สวัสดีมาเลเซีย ... สิ่งที่คิดเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือ หิว Air asia ไม่มีอะไรให้กินเลย ต้องซื้ออย่างเดียว T^T แบบนี้แหละนะ ตั๋วชั้นประหยัด เราเข้าใจ ลงเครื่องมา คิดว่าจะมีงวงช้างแบบที่ดอนเมือง ไม่มีจ้าาาา เดินเอานะจ๊ะ เดินไปที่อาคารผู้โดยสาร ด้วยตัวเอง แบกกระเป๋าหนักๆ พร้อมขาตั้งกล้องกันไป ที่นี่ห้ามถ่ายรูป มีเตือนเรื่องยาเสพติดด้วย คิดในใจ .. แหม๊ คิดว่า สนามบินแกสวยมากหรออออ ถึงต้องห้ามถ่ายรูป (จริงๆเค้าคงมีเหตุผลของเค้า) แต่แบบ อารมณ์ เหนื่อยๆ อย่างถ่ายไมไ่ด้ถ่าย เหวี่ยงแม่มเลย เดินไปต่อแถว เพื่อเช็คอิน Transit ขึ้นเครื่องต่อ แถวย้าวยาววววววว กระเป๋าหนัก แต่เฮ้ยย ไม่ได้ ต้องแข็งแรงดิ ไปโตเกียวเดินอีกเยอะนะ แถวเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ในที่สุดก็ถึงตาเรา คุยกับเจ้าหน้าที่ซึ่งสำเนียงแขกๆหน่อย รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
สวัสดีมาเลเซีย ... สิ่งที่คิดเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือ หิว Air asia ไม่มีอะไรให้กินเลย ต้องซื้ออย่างเดียว T^T แบบนี้แหละนะ ตั๋วชั้นประหยัด เราเข้าใจ ลงเครื่องมา คิดว่าจะมีงวงช้างแบบที่ดอนเมือง ไม่มีจ้าาาา เดินเอานะจ๊ะ เดินไปที่อาคารผู้โดยสาร ด้วยตัวเอง แบกกระเป๋าหนักๆ พร้อมขาตั้งกล้องกันไป ที่นี่ห้ามถ่ายรูป มีเตือนเรื่องยาเสพติดด้วย คิดในใจ .. แหม๊ คิดว่า สนามบินแกสวยมากหรออออ ถึงต้องห้ามถ่ายรูป (จริงๆเค้าคงมีเหตุผลของเค้า) แต่แบบ อารมณ์ เหนื่อยๆ อย่างถ่ายไมไ่ด้ถ่าย เหวี่ยงแม่มเลย เดินไปต่อแถว เพื่อเช็คอิน Transit ขึ้นเครื่องต่อ แถวย้าวยาววววววว กระเป๋าหนัก แต่เฮ้ยย ไม่ได้ ต้องแข็งแรงดิ ไปโตเกียวเดินอีกเยอะนะ แถวเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ในที่สุดก็ถึงตาเรา คุยกับเจ้าหน้าที่ซึ่งสำเนียงแขกๆหน่อย รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์นี้ ไม่ค่อยมีอะไรให้เขียนถึงเท่าไร นอกจาก เรื่องอาหารที่แม่ม หากินยาก และแพงเหลือเกิน ใช้หน่วยเงิน "ริงกิต" หลังจากเดินดูจนทั่ว ก็ตกลงกันว่า กินดังกิ้นโดนัท ละกัน ดูคุ้มค่าสุด จากที่โฆษณาหน้าร้านแบบเกินจริง ระหว่างทางหาน้ำกิน เดินร้านแรก โห 4 ริงกิต น้ำเชี่ยไรเนี่ย เดินผ่านร้านต่อมา 3.6 เห้ยทำไมมันถูกกว่าวะ เดินต่อ 2.5 เห้ย เมิงจะมีถูกกว่านี้อีกป้ะ จนสุดท้าย เจอร้าน 1.6 โอเคคคค เราได้ที่กินน้ำแล้วล่ะ เดินไปแลกเงิน 200 บาท ได้มาประมาณ 19 ริงกิต ซื้อน้ำ แล้วก็ไปกินข้าวที่ดังกิ้น ป้ายโฆษณาหน้าร้าน มีรูป โดนัท แซนวิช กาแฟ ราคา 16 ริงกิต แบบเออ คุ้มเว้ย ถ้าซื้อแยกคงแพงกว่านี้ เดินเข้าไป.. สั่งข้าวเป็นภาษาอังกฤษ ครั้งแรกในชีวิต มั่วแหลก แต่ก็สั่งจนสำเร็จ
พนักงาน : รับไรดีคะ (Natthamonphisit Translate)
เรา : เอาชุด A ครับ
พนักงาน : รับ แซนวิช แบบไหนคะ
เรา : เอาเตอกีร์ แซนวิชครับ (ไม่แน่ใจชื่อนะ)
พนักงาน : กาแฟล่ะคะ
เรา : เอาธรรมดาครับ
พนักงาน : 17 ริงกิตค่ะ
เรา : (คิดในใจ อ่าวเฮ้ย แล้วโดนัทกุล่ะครัชชชชช) อ่า... โดนัทไม่มีหรอครับ
พนักงาน : เลือกได้ 1 อย่างค่ะ ว่าจะเอาโดนัท หรือ แซนวิช
เรา : ครับ (คิดในใจ พ่อง แล้วเมิงเอารูปโดนัท ลงไปด้วยทำไม แล้วไม่มีอธิบายซักคำ พ่องงงง)
รับของมากิน ด้วยความเซ็ง แซนวิชใช้ได้ กินกันหิวได้โอเคเลย แต่กาแฟแม่ม เปรี้ยวไปไหน สุดท้ายดูดไป 3 หยด เลิกกิน แม่มเอ๊ย 17 ริงกิตของกรู FFFFFUUUUUU กินเสร็จนั่งเล่นเน็ตไปเรื่อย Line call หาพ่อกับแม่เพื่อบอกว่า ถึงมาเลเซียแล้วนะ คุยกันเรียบร้อยก็ได้นั่งพักจริงจังซักที เหลือเวลาอีกประมาณ 3 ช.ม. กว่าจะเตรียมไปขึ้นเครื่องอีกครั้ง ....
3 ชั่วโมงผ่านไป ไวเหมือนโกหก นั่งจดบันทึกอะไรไปเรื่อย เดินไปเล่นเน็ตบ้าง แปปๆ เค้าก็เรียกให้เตรียมไปขึ้นเครื่อง มีเรื่องประทับใจ พอพนักงานตรวจบัตร เห็นพาสปอร์ท เราเป็นคนไทย ก็ยกมือไหว้ สวัสดีครับ โอ้วว เจ๋งฝุดดด ใส่ใจรายละเอียด ระหว่างรอ มีข้อความเตือนจาก ปันปัน เพื่อนของฝ้ายที่อยู่ญี่ปุ่น บอกว่า ตอนนี้หิมะตกหนัก ให้เตรียมตัวให้ดีด้วยนะ ได้เลยจ้าาา อยากเจอหิมะมานานแล้ว หลังจากนั้นก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่องต่อไป
ในที่สุด เวลาของการบินไปญี่ปุ่นของจริงก็มาถึง คราวนี้เราไม่ได้จองที่นั่งแล้ว จึงไม่ได้นั่งติดหน้าต่างแบบตอนแรก เดินขึ้นเครื่องมาคนที่นั่งข้างๆเราขึ้นเครื่องมาก่อนแล้ว เป็นผู้หญิงน่ารักซะด้วย แหม่ แจ่มเลยอะไรจะโชคดีขนาดนี้ .... แต่ที่คิดมานี่ผิดถนัดด อาเจ๊คนนี้ ก่อเรื่องไว้มากมายจ้าไว้จะเล่าต่อจากนี้ ขึ้นมานั่งก็ส่องแอร์ไปเรื่อย แอร์รอบนี้เป็นแอร์ มาเล กับ ญี่ปุ่นปนกัน ซึ่งแจ่มมากกกก แอร์มาเลหน้าคล้าย คิมเบอรี่ ส่วน ญี่ปุ่นก็แจ่ม คาวาอี้สุดๆ สจ๊วด ก็แบบอย่างกะหลุดมาจากหนังซามุไร นั่งมองเพลิน จนเครื่องขึ้นเลย กัปตันประกาศด้วยสำเนียงมาเล แบบพอจับใจความได้ว่า อีกประมาณ 7 ช.ม. จะถึงญี่ปุ่นนะ และตอนนี้กำลังจะเอาเครื่องขึ้นแล้วจ้า ..... ระหว่างทางอาเจ๊เริ่มแผลงฤทธิ์ นั่ง 2 ที่นั่งแทนที่จะวางแขนฝั่งที่ตัวเองนั่ง ดันวางแขนตรงที่วางตรงกลาง เราก็ขยับไปโดนบ้างบางครั้งเพราะเจ๊แกวางแขนตรงนี้ แม่ม มองหน้าเว้ย แบบไม่พอใจ คือเราก็พยายาม ไม่ไปโดนอีก แต่บางที นั่งติดกันขนาดนี้มันก็ต้องโดนบ้างป้ะ คือไม่ได้อยากจะโดนตัวเจ๊เลย ถึงจะน่ารักนิดๆ แต่แบบ ตอนนี้ไม่อยากโดนแล้วอ่ะ จะเรื่องเยอะอะไรนักหนา คือเวลาเจ๊แกขยับตัวโดนเรานะ เราไม่ได้ว่าซักคำ นี่ต่อมาเราโดนอีกที แกสะกิดเลยครับบบ ทำภาษามือ บอกว่า เจ๊จะนอนแล้ว อย่ามาโดนตัวชั้นนะ เราแบบ เอิ่มมม ทีเมิงโดนกุนะ มัดผมที นี่แม่งแทบสะบัดผม ตีหน้ากุไม่รู้กี่ดอกแล้ว ยังไม่พูดเลยยย ดีออกกกกกกก !!!! นี่มาทำเป็นไม่พอใจ คราวนี้เลยนั่งแบบ ขยาดเจ๊แกเลย รังเกียจจจ เขยิบไปชิดทางเดินแทบจะออกไปนั่งบนทางเดิน ระหว่างนั้นเจ๊แก ก็ยังมาโดนตัวเราหลายรอบเหมือนกัน อาเจ๊นี่แม่ง ไม่ได้ดูตัวเองเล้ยย..... หลับดีกว่าาา
หลับบ้างไม่หลับบ้าง ด้วยความที่ยังตื่นเต้นอยู่ เล่นเกมส์จบไปหลายตาละ และแล้ว กัปตัน ก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ แปลคร่าวๆได้ว่า
เรา : เอาชุด A ครับ
พนักงาน : รับ แซนวิช แบบไหนคะ
เรา : เอาเตอกีร์ แซนวิชครับ (ไม่แน่ใจชื่อนะ)
พนักงาน : กาแฟล่ะคะ
เรา : เอาธรรมดาครับ
พนักงาน : 17 ริงกิตค่ะ
เรา : (คิดในใจ อ่าวเฮ้ย แล้วโดนัทกุล่ะครัชชชชช) อ่า... โดนัทไม่มีหรอครับ
พนักงาน : เลือกได้ 1 อย่างค่ะ ว่าจะเอาโดนัท หรือ แซนวิช
เรา : ครับ (คิดในใจ พ่อง แล้วเมิงเอารูปโดนัท ลงไปด้วยทำไม แล้วไม่มีอธิบายซักคำ พ่องงงง)
รับของมากิน ด้วยความเซ็ง แซนวิชใช้ได้ กินกันหิวได้โอเคเลย แต่กาแฟแม่ม เปรี้ยวไปไหน สุดท้ายดูดไป 3 หยด เลิกกิน แม่มเอ๊ย 17 ริงกิตของกรู FFFFFUUUUUU กินเสร็จนั่งเล่นเน็ตไปเรื่อย Line call หาพ่อกับแม่เพื่อบอกว่า ถึงมาเลเซียแล้วนะ คุยกันเรียบร้อยก็ได้นั่งพักจริงจังซักที เหลือเวลาอีกประมาณ 3 ช.ม. กว่าจะเตรียมไปขึ้นเครื่องอีกครั้ง ....
3 ชั่วโมงผ่านไป ไวเหมือนโกหก นั่งจดบันทึกอะไรไปเรื่อย เดินไปเล่นเน็ตบ้าง แปปๆ เค้าก็เรียกให้เตรียมไปขึ้นเครื่อง มีเรื่องประทับใจ พอพนักงานตรวจบัตร เห็นพาสปอร์ท เราเป็นคนไทย ก็ยกมือไหว้ สวัสดีครับ โอ้วว เจ๋งฝุดดด ใส่ใจรายละเอียด ระหว่างรอ มีข้อความเตือนจาก ปันปัน เพื่อนของฝ้ายที่อยู่ญี่ปุ่น บอกว่า ตอนนี้หิมะตกหนัก ให้เตรียมตัวให้ดีด้วยนะ ได้เลยจ้าาา อยากเจอหิมะมานานแล้ว หลังจากนั้นก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่องต่อไป
ในที่สุด เวลาของการบินไปญี่ปุ่นของจริงก็มาถึง คราวนี้เราไม่ได้จองที่นั่งแล้ว จึงไม่ได้นั่งติดหน้าต่างแบบตอนแรก เดินขึ้นเครื่องมาคนที่นั่งข้างๆเราขึ้นเครื่องมาก่อนแล้ว เป็นผู้หญิงน่ารักซะด้วย แหม่ แจ่มเลยอะไรจะโชคดีขนาดนี้ .... แต่ที่คิดมานี่ผิดถนัดด อาเจ๊คนนี้ ก่อเรื่องไว้มากมายจ้าไว้จะเล่าต่อจากนี้ ขึ้นมานั่งก็ส่องแอร์ไปเรื่อย แอร์รอบนี้เป็นแอร์ มาเล กับ ญี่ปุ่นปนกัน ซึ่งแจ่มมากกกก แอร์มาเลหน้าคล้าย คิมเบอรี่ ส่วน ญี่ปุ่นก็แจ่ม คาวาอี้สุดๆ สจ๊วด ก็แบบอย่างกะหลุดมาจากหนังซามุไร นั่งมองเพลิน จนเครื่องขึ้นเลย กัปตันประกาศด้วยสำเนียงมาเล แบบพอจับใจความได้ว่า อีกประมาณ 7 ช.ม. จะถึงญี่ปุ่นนะ และตอนนี้กำลังจะเอาเครื่องขึ้นแล้วจ้า ..... ระหว่างทางอาเจ๊เริ่มแผลงฤทธิ์ นั่ง 2 ที่นั่งแทนที่จะวางแขนฝั่งที่ตัวเองนั่ง ดันวางแขนตรงที่วางตรงกลาง เราก็ขยับไปโดนบ้างบางครั้งเพราะเจ๊แกวางแขนตรงนี้ แม่ม มองหน้าเว้ย แบบไม่พอใจ คือเราก็พยายาม ไม่ไปโดนอีก แต่บางที นั่งติดกันขนาดนี้มันก็ต้องโดนบ้างป้ะ คือไม่ได้อยากจะโดนตัวเจ๊เลย ถึงจะน่ารักนิดๆ แต่แบบ ตอนนี้ไม่อยากโดนแล้วอ่ะ จะเรื่องเยอะอะไรนักหนา คือเวลาเจ๊แกขยับตัวโดนเรานะ เราไม่ได้ว่าซักคำ นี่ต่อมาเราโดนอีกที แกสะกิดเลยครับบบ ทำภาษามือ บอกว่า เจ๊จะนอนแล้ว อย่ามาโดนตัวชั้นนะ เราแบบ เอิ่มมม ทีเมิงโดนกุนะ มัดผมที นี่แม่งแทบสะบัดผม ตีหน้ากุไม่รู้กี่ดอกแล้ว ยังไม่พูดเลยยย ดีออกกกกกกก !!!! นี่มาทำเป็นไม่พอใจ คราวนี้เลยนั่งแบบ ขยาดเจ๊แกเลย รังเกียจจจ เขยิบไปชิดทางเดินแทบจะออกไปนั่งบนทางเดิน ระหว่างนั้นเจ๊แก ก็ยังมาโดนตัวเราหลายรอบเหมือนกัน อาเจ๊นี่แม่ง ไม่ได้ดูตัวเองเล้ยย..... หลับดีกว่าาา
หลับบ้างไม่หลับบ้าง ด้วยความที่ยังตื่นเต้นอยู่ เล่นเกมส์จบไปหลายตาละ และแล้ว กัปตัน ก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ แปลคร่าวๆได้ว่า
กัปตัน : สวัสดีครับ ผมกัปตันครับ (เออ กุรู้แล้วน่าาา) ขณะนี้เราใกล้ถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว (เย้...) แต่ว่าเนื่องจากมีพายุหิมะตกหนักมากกก ทำให้เราเอาเครื่องลงไม่ได้ครับ (อ่าววว )
เรา : (คิดในใจ เอาแล้วไง แม่ง ในที่สุดก็มีเรื่อง)
กัปตัน : เราอาจต้องลงจอดฉุกเฉินที่สนามบิน โอซาก้า เพื่อรอให้หิมะหยุดตกก่อนที่จะเอาเครื่องลงที่ ฮาเนดะได้ครับ เพราะฉะนั้น อีกไม่นานเราจะลงจอดที่โอซาก้าแล้วครับ
เรา : (คิดในใจ เอาแล้วไง แม่ง ในที่สุดก็มีเรื่อง)
กัปตัน : เราอาจต้องลงจอดฉุกเฉินที่สนามบิน โอซาก้า เพื่อรอให้หิมะหยุดตกก่อนที่จะเอาเครื่องลงที่ ฮาเนดะได้ครับ เพราะฉะนั้น อีกไม่นานเราจะลงจอดที่โอซาก้าแล้วครับ
เรา : เหยดดดดดด อย่างกะในหนัง ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ก็ได้ลงจอดฉุกเฉินเลยเว้ยเฮ้ย
มองออกไปนอกหน้าต่างเมฆเยอะมาก ไฟที่ปีกกระพริบสีขาว เหมือนกับฟ้าแลบ น่ากลัวทีเดียว ตื่นเต้นมาก คิดว่ามีพายุตอนแรก แต่มองดีๆ แค่ไฟกระพริบสะท้อนกับเมฆนี่หว่า = = ผ่านไปซักพัก ไฟรัดเข็มขัดก็ติด เป็นสัญญาณว่าเราจะลงแล้วนะ หลังจากนั้นไม่นานเครื่องก็ลงจอด ผู้โดยสารเตรียมตัวลงจากเครื่อง และแล้วเสียงกัปตันก็ดังขึ้นอีกครั้ง
กัปตัน : สวัสดีครับ ผมกัปตันครับ ทางสนามบินโอซาก้า ไม่อนุญาติให้ผู้โดยสารลงไป ทางเรากำลังประสานงานอยู่ครับ
คิดในใจ เฮ้ย ญี่ปุ่น อยู่ตรงหน้าแล้ว ปล่อยกรูวววววววววววว จากนั้นไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมา เอากล้องวีดีโอ ถ่ายผู้โดยสารทุกคน เพื่อใช้ตรวจสอบเวลากลับมาขึ้นเครื่อง หลังจากยึกยักกันอยู่นาน สนามบินโอซาก้า ก็อนุญาติให้ผู้โดยสารลงไปยืดเส้นยืดสายในสนามบิน โดยให้เวลาประมาณ 1 ช.ม.
-เครื่องบินโคตรเท่
มองออกไปนอกหน้าต่างเมฆเยอะมาก ไฟที่ปีกกระพริบสีขาว เหมือนกับฟ้าแลบ น่ากลัวทีเดียว ตื่นเต้นมาก คิดว่ามีพายุตอนแรก แต่มองดีๆ แค่ไฟกระพริบสะท้อนกับเมฆนี่หว่า = = ผ่านไปซักพัก ไฟรัดเข็มขัดก็ติด เป็นสัญญาณว่าเราจะลงแล้วนะ หลังจากนั้นไม่นานเครื่องก็ลงจอด ผู้โดยสารเตรียมตัวลงจากเครื่อง และแล้วเสียงกัปตันก็ดังขึ้นอีกครั้ง
กัปตัน : สวัสดีครับ ผมกัปตันครับ ทางสนามบินโอซาก้า ไม่อนุญาติให้ผู้โดยสารลงไป ทางเรากำลังประสานงานอยู่ครับ
คิดในใจ เฮ้ย ญี่ปุ่น อยู่ตรงหน้าแล้ว ปล่อยกรูวววววววววววว จากนั้นไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ขึ้นมา เอากล้องวีดีโอ ถ่ายผู้โดยสารทุกคน เพื่อใช้ตรวจสอบเวลากลับมาขึ้นเครื่อง หลังจากยึกยักกันอยู่นาน สนามบินโอซาก้า ก็อนุญาติให้ผู้โดยสารลงไปยืดเส้นยืดสายในสนามบิน โดยให้เวลาประมาณ 1 ช.ม.
ถึงแล้วสนามบินคันไซ ที่โอซาก้า
ข้างในสนามบินตอนประมาณ ตี 1
ป้ายคำแนะนำต่างๆ
มีรถไฟใช้ในสนามบิน โคตรเจ๋ง ไว้ใช้เดินทางระหว่างตึกต่างๆ
หลังจากเดินยืดเส้นยืดสายกันจนหายเมื่อยแล้ว ก็เริ่มมีคนอยากกลับไปที่เครื่องบิน ปรากฏว่าทางที่มาตอนแรก มันย้อนกลับไปไม่ได้ ทางเดียวที่จะไปได้คือ ไปผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และย้อนกลับมาที่เครื่องใหม่อีกครั้ง เจ้าหน้าที่ที่นี่ดีมาก มาไล่บอกทีละคนว่าให้ไปที่ไหนยังไง แม้จะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ก็ยังมาคอยบอกชี้ทางให้ตลอด (คงคิดในใจว่า บอกแล้วว่าไม่ต้องลง ยังจะลงกัน ลำบากมั้ยล่ะทีนี้) จากนั้นจึงเดินเข้าไปในด่านตรวจเพื่อ กลับไปขึ้นเครื่อง ไปๆมาๆ แถวโคตรยาว เพราะ ลงกันมาทั้งเครื่องเลย
รอกันไป อยากลงมาเองนี่นา
เจ้าหน้าที่คนสวยคนนี้ สปิริตแรงกล้ามาก แทบจะวิ่งไปบอกทางกับทุกๆคนมีอยู่ช่วงนึง ไปเข็นกระเป๋าเดินทางให้เด็กตัวเล็กๆด้วย
เจ้าหน้าที่ประชุมกันเร่งด่วน เอาไงกะไอไฟล์ทนี้ดีนะ
ในที่สุดก็เปิดเลนพิเศษให้เฉพาะ Air asia X ที่มาลงฉุกเฉินอยู่ลำเดียว ให้กลับขึ้นเครื่องด้วยความรวดเร็ว เพราะเครื่องจะออกแล้ว
รอๆๆ ขึ้นเครื่อง
เครื่องพร้อมจะออกแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็กลับมานั่งที่ด้วยความรวดเร็ว เพราะ อยากถึงโตเกียวเต็มที่แล้ว พูดถึงก่อนลง คิดว่าจะหนาว จัดเต็มเสื้อกันหนาวลงไปปรากฏว่าที่นี่อุณหภูมิ 28 องศาจ้า เหงื่อตกกันเลย ขึ้นเครื่องพร้อมปุ๊ป กัปตันรีบ รีบเอาเครื่องออกทันที คงกลัวว่า โอกาสที่จะได้ลงน้อย เมื่อมีโอกาสแล้วก็รีบๆไปซะ เครื่องจะขึ้นใหม่กี่รอบ แอร์กก็ต้องมาสาธิต วิธีคาดเข็มขัดตามเคยซึ่งตอนนั้นไม่มีใครสนใจแล้ว ขึ้นเครื่องได้หลับกันหมด หลังจากเครื่องขึ้นกัปตันจึงบอกว่า อีกประมาณ 1 ช.ม. ครึ่ง เราก็จะไปถึง สนามบินฮาเนดะ โตเกียวกันแล้ว เย้ ...... ตื่นเต้น นอนไม่หลับตามเคย หลับๆตื่นๆ แปปๆ ก็ถึงเวลาเอาเครื่องลงซักที เสียงกัปตันประกาศว่าพร้อมจะเอาเครื่องลง พร้อมทั้งบอกอุณหภูมิปัจจุบัน 0 องศาจ้า เตรียมตัววคราวนี้สินะ ทริปโตเกียวมาราธอนของจริงเริ่มขึ้นแล้ว แล้ว แล้ว แล้วววว
เครื่องลงประมาณ 03.45 น. เวลา ญี่ปุ่น และแล้ว หิมะครั้งแรกในชีวิตก็โผล่มาให้เห็นอยู่ตรงหน้า ตื่นเต้นดีใจสุดขีด จนลืมไปว่า อีกแค่ 1 ช.ม. ก็จะครบ 24 ช.ม. แล้วที่ยังไม่ได้นอน
ที่นี่ไม่มีงวงช้าง (ทางเดินเข้าอาคารผู้โดยสาร) เหมือนที่มาเลเซียแต่มีรถบัสมารับ แน่สิจะให้เดินลากกระเป๋าลุยหิมะก็ออกจะใจร้ายเกินไป หยิบสัมภาระ เดินต่อแถวกันลงมาเรื่อยๆ กว่าจะออกกันหมดก็นานอยู่ ก้าวแรกที่ลงจากเครื่องบิน ที่พื้นมีหิมะเต็มไปหมด ก้าวขาลงไป ซู่มมมมมม !!! เละจ้า หิมะมันละลายเพราะเค้าเคลีย รันเวย์ เปียกตั้งแต่ก้าวแรกที่ลงเลย แถมโคตรลื่น ลมโคตรแรง แถมเย็นจัด ก็ 0 องศานี่นะ รีบเขย่งไปขึ้นรถด้วยความไวสูง ถึงอาคารผู้โดยสาร ด้วยความฟิตจัด รีบเดินแซงหน้าทุกคนไปที่ ต.ม. เพื่อจะได้ออกไปให้เร็วที่สุด มีคนเล่าว่า ที่น่ากลัวที่สุดคือ ด่านนี้แหละ ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง อาจโดนกักตัวเพื่อสอบสวน เข้าไปก็ เก้ๆกังๆ ถามคำตอบคำ แต่ดูหน้าแล้ว เค้าคงเห็นว่าเราน่ารัก เลยให้ผ่านแต่โดยดี ออกมากว่าจะรับกระเป๋าโน่นนั่นนี่เสร็จ ก็ปาไป เป็นเวลา 04.30 น. แล้ว จากที่คิดว่าเราจะนอนพักผ่อนกันคืนแรกที่นี่นั้น เวลาก็ได้ล่วงเลยมาเกือบเช้าเลยทีเดียว ตัดสินใจว่า งั้นรอตี 5 เพื่อไปที่พักที่ Asakusa เลยละกัน
การเป็นนักท่องเที่ยวนี่ดีอย่าง ได้ทำอะไรที่แบบ นักท่องเที่ยวเค้าทำกัน เช่นถามทาง ด้วยความที่อยู่เมืองไทยไม่ค่อยจะกล้า สปีก อิงลิช เท่าไร มานี่เลยได้จัดแบบไม่ต้องอายใคร ถามมั่วมั่งถูกมั่งตลอดเวลา ออกจากที่รับกระเป๋ามา ก็เห่ออยากคุยอังกฤษ ทันที เดินวนๆๆ ไปเรื่อย เห็นที่ขึ้นรถไฟละ แต่ด้วยความที่อยากพูดภาษาอังกฤษ เลยเดินไปสอบถามที่ Information เพื่อความแน่ใจอีกที กว่าจะรู้เรื่องก็เกือบ 5 นาทีแต่ก็ตามที่เราเข้าใจแหละ สถานีรถไฟจะเปิดตอน ตี 5 และเราจะนั่งรถสาย Keikyu ตรงจากสนามบิน Haneda ไปที่ Asakusa แบบรวดเดียวจบ จริงๆวันนี้เข้าวันที่ 09 ก.พ. 2557 แล้ว จึงขอจบพาร์ทนี้ไว้ที่ สนามบิน Haneda ก่อนครับ
รอสถานีรถไฟเปิด จะเปิดฉากทริปนี้แล้ววววววววว
ความรู้สึกของวันนี้ ....
-เครื่องบินโคตรเท่
-เราไม่เมาเครื่องบิน
-กล้องเอาออกมาคล้องคอได้ ตอนอยู่บนเครื่อง
-ขึ้นเครื่องบินถ้ามีเปลี่ยนเครื่องบ่อยๆ อย่าใส่เล่ยเข็มขัด ถอดเข้าถอดออก ขี้เกียจ
-แอร์พวกสายกินบินที่ต้องบินข้ามประเทศ สวยยยยย
-แอร์เอเชียไม่มีอาหารให้ต้องซื้อเอา และแนะนำว่า อย่าไปสั่งพวกอาหารชุด แม่งงงง หน้าตาสวยๆ แต่แบบ กินกันตายชัดๆ ถ้าหิว จัดพวก มาม่า ขนมดีกว่า
-ฤดูหนาวที่ ญี่ปุ่นบางที่ก็ไม่หนาว
-หิมะสวยแต่โหด
-น้ำซื้อจากในสนามบินเอาขึ้นเครื่องได้ จะได้ไม่ต้องซื้อบนเครื่องแพงๆ
-คนญี่ปุ่นสปิริตการทำงานเจ๋งมาก
-รถไฟมีแม้กระทั่งในสนามบิน
-เครื่องซื้อตั๋วอัตโนมัติเทพมาก โยนๆเหรียญลงไปยังได้
-ภาษาอังกฤษ เดี๋ยวนี้ใช้กันมากขึ้นในญี่ปุ่นแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น