สวัสดีวันที่ 12 ก.พ. 2557
หลังจากที่เขียนมาหลายตอน เขียนแบบ กลัวคนอ่านเบื่อบ้างไรบ้าง พยายามไม่ใส่รายละเอียดเยอะเท่าไรเพราะกลัวตัวหนังสือจะเยอะเกินไป แต่มานั่งคิดอีกที ที่เราบันทึกเรื่องการทัวร์ครั้งนี้ไว้ เพราะว่าเราไม่อยาก ลืม ประสบการณ์ ในการไปญี่ปุ่นครั้งแรก ที่แสนประทับใจนี้เอาไว้ คราวนี้เลย จะเขียนทุกสิ่งที่พอจำได้ เพื่อบันทึกไว้ในความทรงจำละกัน
หลังจากที่ตะลุยกับโตเกียวมาหลายวัน มาถึงตอนนี้ก็เริ่มที่จะชินกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของประเทศนี้ ทั้งสภาพอากาศ และ วิถีชีวิตของคนเมืองนี้ เราได้รู้ว่า ถ้าเราตื่นเช้าเกินไปบางที ถ้าเราไม่ได้ไปตามสถานที่ท่องเที่ยว เราอาจจะหาข้าวกินได้ยาก วันนี้เราจึงเตรียม ซื้อ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แบบของประเทศต้นตำรับ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า มาม่า วันนี้มาถึงถิ่นกำเนิดของมาม่าแล้ว เลยต้องจัดซักหน่อย !
สมกับเป็นประเทศต้นตำรับ ที่นี่มีมาม่าหลากหลายยี่ห้อมากๆ หลายรสชาติด้วย เสียดายที่เรามัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งอื่นๆมากเกินไป จนเราไม่ได้ถ่ายรูปมาม่าที่เราซื้อมากินซะงั้น เราซื้อมาม่า ยี่ห้อ นิชชิน สีแดง และ สีเหลือง ซื้อโดยไม่รู้ว่า มันเป็นรสอะไรด้วยซ้ำ เพราะ ซื้อตามที่พี่ที่ทำงานฝากเราซื้อ เค้าบอกว่า รสนี้อร่อย เราก็จัดเลย ไปร้าน "Lawson" หรือที่คนไทยเรียกว่า ร้าน 100 เยน ร้านนี้ห่างจากที่พัก ประมาณเดินไป 3 นาทีก็ถึง จัดมา 2 กระป๋อง ถูกๆ เผื่อไว้กินซัก 2 วัน
วันนี้เราเลยตื่นสายกันซักนิด จากที่เหนื่อยมาหลายวัน และขึ้นไปทำมาม่ากินกันบนห้องครัวของ Hostel จากที่เรามากันหลายวัน แต่ยังไม่เคยขึ้นไปที่ห้องครัวเลย ขึ้นมาก็พบกับเครื่องใช้ ไฮเทคมากมาย ต้มน้ำ กับเตาไฟฟ้าเสร็จ ก็มี Staff คนนึงขึ้นมาทำข้าวกินเหมือนกัน เปิดตู้เย็นที่นี่จะมี อาหารฟรีด้วย เป็นบริการน่ารักๆ สำหรับผู้พัก
ที่ห้องครัวนี้ ยังมีมุมน่ารักอีกหลายอย่าง เช่น มุม ทีวี มุมการ์ตูน ที่มีการ์ตูนญี่ปุ่นเต็มไปหมด มุมแผนที่โลก ที่ให้เราเขียนว่าเรามาจากประเทศอะไร มุมที่ให้เราเขียนบันทึกลงสมุดที่เค้าจัดไว้ให้ เปิดอ่านก็มีหลายชาติเข้ามาเขียน เหมือนเป็นการ ลงชื่อไว้ว่าได้มาที่นี่ บางเล่มก็ให้เขียนแนะนำว่า เราไปเที่ยวที่ไหนมา แล้วเราประทับใจ ก็เอามาแชร์ให้เพื่อนๆ ร่วมที่พักได้ตามเที่ยวบ้าง ถือว่าเป็นไอเดียที่เจ๋งมากจริงๆ
นอกจากจะเป็นที่ทำกับข้าว ที่นั่งเล่น พักผ่อน มีระเบียงชมวิวแล้ว ที่ห้องครัวนี้ยังเป็นที่ทำกิจกรรมร่วมกันหลายๆอย่างของทางที่พัก เช่นการทำ ชาบู ทำขนม โดยจะจัด โดย Staff และมีตารางบอกที่ชั้น 1 ซึ่งเสียดายมาก ที่เรามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เราเลยต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด ออกไปข้างนอกทุกวัน คราวหน้าถ้าเราได้ไปอีก จะหาเวลาอยู่ทำกิจกรรมกับทาง Hostel ซักวันหนึ่ง
ไหนๆ ก็พูดถึง Hostel เยอะขนาดนี้แล้ว จะไม่พูดถึงที่พัก ก็ออกจะยังไงอยู่เพราะเวลา เกือบครึ่งเรานอนอยู่ที่นี่ งั้นจะมาพูดถึง Hostel แสนน่ารักนี่หน่อยละกัน ตอนแรกเราจะไป พักที่ Khoasan Tokyo Original แต่ที่พักเต็ม เราจึงได้มาพักที่ Khoasan Tokyo Samurai แทน ซึ่งอยู่ที่ Asakusa เหมือนกัน แต่ห่างออกมาทางนอกๆ หน่อย ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ที่นี่เงียบสงบ มีมุมน่ารักๆ แบบที่เราอาจไม่เห็นถ้าเราไปพักใจกลางเมือง Staff น่ารัก เป็นกันเอง และ อยู่ใกล้ สถานีรถไฟ ร้านร้อยเยน และ วัด Sensoji
ที่ Hostel นี้มองข้างนอกเหมือนจะเป็นตึกเล็กๆ แต่เข้าไปข้างใน จัดสรรปันส่วนเป็นอย่างดี สามารถบรรจุห้องได้ถึงประมาณ เกือบ 20 ห้อง มีทั้งห้อง สำหรับ 2 คน และ สำหรับ 4 คน(แบบ Dorm) ซึ่งห้อง 4 คนถ้าเราอยากได้เพื่อนชาวต่างชาติ เราอาจจองคนเดียวโดยห้อง 4 คนจะจัดไปรวมกับ เพื่อนๆคนอื่นที่จอง แบบ Dorm ก็ได้
มาพูดถึงตัว Hostel ชั้้น 1 จะเป็น Office ของ Staff มีของตกแต่งน่ารักเยอะแยะไปหมด การเช็คอิน เช็คเอาท์ เช่าผ้าเช็ดตัว ก็จะสามารถทำได้ที่นี่ทั้งหมด เป็นห้องโถง สำหรับวางกระเป๋าก่อนเช็คอิน หรือ เช็คเอาท์แล้ว ออกไปเที่ยวก่อนถึงเวลาเครื่องออก ก็สามารถฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ได้ และมีคอมพิวเตอร์ ที่เน็ตแรงโคตรๆ ไว้ให้เล่น 2 เครื่อง มีทีวีโชว์ กิจกรรมต่างๆของที่พัก มีหนังสือให้อ่าน มีมุมเก็บรองเท้า และเปลี่ยนเป็น slipper ไว้ให้ มีห้องพักประมาณ 6 ห้อง มีห้องน้ำ 2 และ ห้องอาบน้ำ อีก 2 มีอ่างล้างหน้า พร้อมด้วย ไดร์ อีก 2 ในพื้นที่เพียงเท่านี้แต่สามารถแบ่งได้ขนาดนี้ ต้องขอนับถือ เค้าจริมๆครัชช สุดยอดดด
.jpg) |
ที่ Office ของ Staff มีการบอก พยากรณ์อากาศ แบบเวอร์ชั้น คาวาอี้ ครับ |
ชั้น 2 นั้นจะเป็นห้องพักทั้งหมด น่าจะมีซัก 10 ห้องได้ครับ มีห้องน้ำ และ ห้องอาบน้ำ พร้อมเช่นกัน ต่อมาชั้น 3 เป็นที่พักและ ห้องครัว ซึ่งเราได้พูดถึงห้องครัวไปเมื่อตอนแรกแล้ว เสียดายอีกแล้ว ที่เราไม่ได้ถ่ายรูปในที่พักมาเลย อาจเพราะเห็นว่า อยู่ที่นี่ตลอด จะถ่ายตอนไหนก็ได้ เลยลืม ไปคราวหน้า ไม่มีพลาดจ้าาาาา ชั้น 4 เป็นที่พัก และมีระเบียงออกไปสังสรรค์กันได้ เห็นวิว Tokyo sky tree เป็น Background อยูู่ไกลๆ และสุดท้าย ชั้นดาดฟ้า จะเป็นที่ซักผ้า อบผ้า ถ้าเราไม่อยากขนของมาเยอะ เอาเสื้อผ้ามาพอใช้ซัก 3 วันแล้วเอามาซักก็ได้เช่นกัน ระบบการทำงาน ไฮเทคเช่นเคย เช่น ไฟที่เปิดเองเมื่อมีคนเดินมา เจอตอนแรก โคตรตกใจ เพราะเราเอาผ้าไปซักตอนเกือบ 5 ทุ่ม เดินไปมืดๆ อยู่ๆไฟติดเอง แทบช็อค จ้าาา เล่นไรไม่บอกกันเลยยยย
สำหรับที่พักเราก็จะเป็นแบบนี้ เล็กๆ อบอุ่น เจอเพื่อนร่วมที่พัก ก็ทักทายกัน จนเราอยู่ที่นี่จะชินมากกับการเจอหน้ากัน แล้วต้องทักทายกันซัก 1-2 ประโยคเสมอ Staff พูดอังกฤษได้ ให้ช่วยอะไร เต็มที่สำหรับการช่วยเหลือเราเสมอ ถ้าเทียบกับการพักโรงแรม อาจไม่สะดวก สบายเท่า เพราะเราอาจจะต้องทำอะไรเองหลายๆอย่าง แต่รับรองว่า มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ไม่แพ้โรงแรมที่แสนสบายเลยครับ ถ้าเปรียบเทียบเป็นการทำอาหาร โรงแรมคงเป็นการไปกินร้านอาหารหรูๆ Hostel คงเป็นการซื้อของมาทำกับข้าวกินกันเอง แม้จะลำบากบ้างนิดหน่อย แต่ก็มีความสุขครับ พูดซะเหมือนลำบากมาก จริงๆ ไม่ได้ลำบากไรเลยครับ แค่ทำอะไรด้วยตัวเองบ้างนิดหน่อยเท่านั้น
*******************************************************************************
มาต่อกันที่เรากินมาม่า กินมาม่ากันไป นั่งเปลี่ยนช่องทีวีดูไปเรื่อยกินกันเสร็จแล้วเราก็มาดูตารางของวันนี้กัน ว่าเราจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง
ตามตารางวันนี้เรากะจะกินข้าวเช้ากันที่ร้าน Tendon Tenya แต่เรากินกันไปตั้งแต่วันแรกที่ถึงญี่ปุ่นแล้ว เราเลยเปลี่ยนมากินมาม่า กันแทน เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปที่ Ueno Park เราก็ขึ้นรถไฟ โดยขึ้นจาก สถานี ________ ไปที่ สถานี ________ เมื่อเดินทางไปถึง Ueno แล้ว สิ่งที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ ที่โด่งดังปรากฏในหนังสือนำเที่ยวหลายๆเล่ม คือ ตลาด Ameyoko เป็นตลาด ที่ขายของหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของสด เสื้อผ้า ยาสระผม ขนมต่างๆ บ๊ะจ่างอันใหญ่ ไปจนถึง ร้าน 18+ (บ๊ะจ่างนั่นไม่ใช่ละ หาคำคล้องจองไม่ได้ เลยใส่ไปงั้นๆ) ที่นี่ของกินราคาไม่แพง ร้านข้าวราคาถูก แต่เรากินกันมาแล้ว เลยเดินทัวร์ซะหน่อย
.jpg) |
ของสดที่ตลาด อเมโยโกะ ปลามึกสดๆกันเลยทีเดียว |
.jpg) |
เจอรายการมาถ่านทำ แอบยืนดูอยู่นาน เผื่อจะติดกล้องเค้าได้ออกทีวีที่ ญี่ปุ่นบ้าง |
.jpg) |
มีทุกอย่างไม่เว้นร้าน 18+ |
.jpg) |
ร้านข้าวแถบนี้มีเยอะมากครับ และราคาไม่แพงซะด้วย |
ใกล้กันกับ ตลาด อาเมโยโกะ ก็จะมีตึกม่วง Takeya ที่ขายของพวกของฝาก เช่น ขนมต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งหาได้ไม่ยากเพราะ ม่วงซะขนาดนั้น
 |
คนไทยเรียกตึกนี้ว่า ตึกม่วง อื้มมม สมชื่อจ้า |
 |
เนื่องจากคนไทยมาซื้อของกันเยอะเหลือเกิน เค้าจึงอำนวยความสะดวกให้เราโดยมีภาษาไทย อธิบายให้ด้วย แต่ เอ๊ะ มันแปลกๆนะ ลองดูนะครับ ภาพนี้มีอะไรแปลกๆ |
วันนี้เราไม่ได้กะจะมาซื้อของฝากอะไรเท่าไร เราจึงไปตามที่ตั้งใจไว้คือไป Ueno Park ก่อนไปถึง ก็จะมีอีกสถานที่ที่ ในหนังสือ แนะนำไว้คือตึก Ueno 3135 ไม่รู้ที่มาของชื่อเหมือนกัน แต่ไม่มีอะไรมาก เราเลยไม่ได้ไปเดินทัวร์ เนื่องจากเสียเวลาไปเยอะแล้ว แวะ Family mart ซื้อขนมกิน ที่นี่ เราจะพบร้าน Family mart ได้ทั่วไปเหมือน 7-11 ของบ้านเรา ซื้อมันฝรั่งกับ Hotdog มากิน อื้มมม อร่อยดี ตามมาตรฐานของที่นี่
 |
ตึก Ueno 3135 ที่ไม่ได้มีอะไรเท่าไร มีร้านอาหาร ห้างอะไรแบบนี้มากกว่า |
มาถึงสวน Ueano แบบงงๆ เดินขึ้นไป ไม่มีเป้าหมายอะไรเท่าไร เน้นเดินชมสวนถ่ายรูปไปเรื่อย ตามที่กะไว้ในตารางแผนข้างบน สวนร่มรื่นสวยงาม ถ้าเป็นช่วงซากุระบานคงคึกคักกว่านี้ ฟ้าวันนี้ เริ่มเปิดเพราะหิมะเริ่มละลายหมดแล้ว ชมวิวไปเรื่อย ๆ ตามรูปเลยละกันนะครับ
Orz ไม่นะ ชุดนักเรียนที่เรารอคอย เอ้ยยยย !!! โรงเรียนที่เรารอคอย เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่มั้ยย เห้ยนั่นนน นักเรียน ญ ม.ปลาย ในชุดกะลาสี ขอถ่ายรูปเลยมั้ยล่ะ ไหนๆ ก็ไม่เจอโรงเรียนแล้ว (ความคิดในหัว แล่นไปมาอย่างไว) มองออกไปรอบๆตัว จาก สวนสาธารณะ ก็กลายมาเป็นเขตที่อยู่อาศัยเสียแล้ว แต่ภาพที่เห็น ก็ทำให้นึกถึงการ์ตูนหลายๆเรื่อง เช่น Doraemon เป็นต้น
ตอนนี้คงต้องแบ่งเป็น 2 Part หากจะเขียนแบบละเอียด เนื่องจาก ยาวเกินไป ถ้าจะบรรจุ บันทึกของทั้งวันนี้ไว้ในตอนเดียว หลังจากนี้เราจะไปที่ Ropongi ศูนย์รวม ศิลปะ มากมาย ที่อะไรๆ ในเมือง ก็ออกจะเป็นศิลปะตามไปด้วย
つづく.