วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

#7 Art in their mind 2

สวัสดีวันที่ 12 ก.พ. 2557 ภาค บ่าย

        หลังจาก เหนื่อยกับการออกไปเดินตามหา เด็กมัธยมจนทั่วสวนสาธารณะ Ueno แล้ว ก็เริ่มหมดแรง อยากจะกินข้าวเราตั้งใจจะไปกินข้าวไก่ไข่ ตามรีวิว ที่ได้อ่านมาจากพันทิป ที่สถานี Ningyocho เดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน โดยเดินทางจาก Chiyoda Line (มีสายเดียว) Sendagi(C15) -> Hibiya (C09) เพื่อเปลี่ยนไปสาย Hibiya Line จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้น Hibiya Line (H07) -> Ningyocho (H13) ขึ้นมาถึงก็พบกับเซอไพร้ อีกรอบ หลังจากพลาดร้านปลาดิบ อับดับ 1 จากตลาดปลา
ขึ้นมาก็พบว่า ร้านเค้าเปิดเป็นช่วง คือ ช่วงบ่ายก็จะเปิดแค่ประมาณ 11.00 - 14.00 เราไปถึงประมาณเกือบๆ บ่าย 2 จึงอดไปตามระเบียบนะครับ

ร้านข้าวหน้าไก่ไข่ ที่มาไม่ทันอดกินเลยแจ้


สิ่งที่ทำให้เราได้เดินชมเมือง ในส่วนที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไปเดินเท่าไร คือการหาร้านกินข้าวนี้แหละ หลังจากที่รู้ว่าร้านข้าวหน้าไก่ไข่ ปิดแล้ว จึงเกิดภารกิจเดินตามหาที่กินข้าว เดินจนวนไปรอบ สถานี ได้เห็นอะไรที่แปลกตาพอสมควร เมืองนี้เป็นเมืองที่ออกไปทางเมืองเก่า แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวก บ้านเหล่านี้มันจะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว

ความคลาสสิค + กับความเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี


วนไปวนมาอยู่นาน เริ่มทนหนาวไม่ไหว เจอร้านข้าวหน้าตกแต่งดูสวยงาม ราคาไม่แพง เลยจัดซะเลย สั่งข้าวหน้าหมู ฟินอีกตามเคย ตั้งแต่กินข้าวมาที่ประเทศนี้ ยังไม่มีร้านไหนที่รู้สึกว่าเสียดายเงินซักร้านอร่อยแบบมีมาตรฐานทุกร้านจริงๆ และที่ร้านนี้เราก็ได้เจอกับสิ่งที่กังวลของหลายๆคน คือคนญี่ปุ่นจะคุยกับเรารู้เรื่องมั้ย ที่นี่เราอยากรู้ว่าเมนูนี้ใช้วัตถุดิบอะไร ปรากฏว่าพนักงาน งงครับฟังไม่รู้เรื่อง แต่เดี๋ยวนี้ประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนไปแล้วครับ นักธุรกิจ ใส่สูท นั่งอยู่ข้างๆ อ่านหนังสือพิมพ์บังหน้า แต่จริงๆแล้ว คือแอบฟัง ไอ้นักท่องเที่ยว 2 คนพยายามคุยกับพนักงาน แบบมึนๆ เลยตัดสินใจเข้ามาช่วย พูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ การสั่งข้าว จึงผ่านไปอย่างงดงาม

ข้าวหน้าที่นี่ขอสรุปว่าอร่อยทุกร้านแจ้
กินอิ่มแล้ว สิ่งที่รอคอยในวันนี้อีกอย่างคือ การที่จะได้เห็น Tokyo tower แบบ ตัวเป็นๆซักที แต่วันนี้เป็นการเห็นแบบระยะไกล จากย่าน Roppongi ที่ที่เต็มไปด้วย ความอาร์ท มีที่แสดงศิลปะ มีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับศิลปะมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tokyo national art center , Mori tower , Fuji tower ,The Suntory Museum of Art สถานที่เหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็น Art triangle ของ Roppongi hills เพราะ อยู่มุมแต่ละด้านของเมือง ที่อยากจะไปขนาดนี้เพราะได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "หลง" ที่มีคำโปรยบนหนังสือว่า "ชีวิตนี้ คนเราควรจะหลงอยู่ 2 อย่างคือ หลงทาง และ หลงรัก"

Roppongi เมืองแห่งศิลปะ


        ออกเดินทางจาก สถานี Ningyocho ไปที่ สถานี Roppongi ที่แรกที่ไปถึง คือใต้ดินของตึก Tokyo Midtown ตึกที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยมาก มีงานศิลปะที่โด่งดังอยู่ที่นี่ มีพนักงานต้อนรับที่โคตรน่ารัก และ เอาใจใส่ มี 7-11 แบบ Premium และมี The Suntory Museum of Art อยู่ที่ชั้นบน ในที่สุด !!!! อยากจะตะโกนออกมา แต่ต้องเก็บไว้ในใจ เราก็มาถึงแล้ว สามเหลี่ยมมุมแรกของ Roppongi ที่นี่เราได้พบกับ งานศิลปะ เป็นหินหนึ่งก้อนตั้งอยู่กลางเพดานที่เจาะให้แสงสาดลงมา เป็นงานศิลปะที่โด่งดังพอสมควร และยังมีงานศิลปะของศิลปินนี้อยู่ที่หน้าตึก Tokyo midtown อีกด้วย 

เดินขึ้นมาจาก รถไฟใต้ดินก็เป็น ตึก Tokyo midtown เข้ามาก็สวยแล้ว

งานศิลปะตั้งอยู่ตรงกลางตึก

ร้านค้ามากมายในตึก

สถาปัตยกรรมในตึกที่สวยมากๆ

มองมุมอื่นๆ แปลกๆบ้าง

        ที่ตึก Tokyo midtown นอกจากจะมี The Suntory Museum of Art แล้ว ก็ยังเป็นเสมือนห้างหรูๆ มีร้านอาหาร มี Super market อยู่ข้างใน ที่เราได้ไปใช้บริการเนื่องจาก ออฟ แสบตา เลยต้องไปตามหาน้ำตาเทียมกัน วิธีหาของเราก็ไม่อยาก Google translate ช่วยท่านได้ แปลเป็นภาษาญี่ปุ่น ยื่นให้พนักงาน พนักงานชี้โบ๊ชี้เบ๊ อ่านจากภาษามือได้ว่า ร้านขายยาอยู่ตรงโน้นค่าาา เดินไปยื่นมือถือให้เภสัชดู จึงได้น้ำตาเทียมมาตามต้องการ จัดการหยอดน้ำตาเสร็จจึงเดินทางกันต่อ

ป้ายบอกทางและป้ายโฆษณา


        และแล้วเราก็เจอ กับ ความประทับใจด้านบริการของ ญี่ปุ่นไม่รู้รอบที่เท่าไรแล้วอีกครั้ง หลังจากที่พยายามหา The Suntory Museum of Art เดินไปหยุอยู่ที่ แผนที่ กำลังอ่านได้ไม่ทันจบชั้นแรก พนักงานต้อนรับผู้มีสายตาดั่งเหยี่ยวเล็งเห็น นักท่องเที่ยว 2 คน ยืนงงอยู่หน้าป้าย Map เดินความมาด้วยความเร็ว ขนาดที่ยังไม่ทันอ่านแผนที่ชั้น 1 จบ โค้งให้เราด้วยความอ่อนน้อม พร้อมถามว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ (ข้อความจากวุ้นแปลภาษา) 

        อุ๊ก : เอ่อ ! The Suntory Museum of Art อยู่ไหนหรอครับ
        พนักงานสาว : ยิ้มอย่างสวยงาม พร้อม พูด ภาษาอังกฤษ ปน ญี่ปุ่น เอ่ โตะ *$&*(@#$)(*)#(*$@ 
        อุ๊ก : .....
        พนักงานสาว : เห็นทีคงต้องใช้ไม้ตาย จิ้มลงไปบนแผนที่ และ ชี้ไปที่บันไดเลื่อน
        อุ๊ก : โอ้วว อาริกาโต่ !!!! จิ้มแต่ทีแรกก็จบแล้วจ้าาา สรุปว่า อยู่ชั้น 4 ไปขึ้นบันไดเลื่อนตรงนั้นสินะ 

        ขอบคุณเรียบร้อยก็เดินไปตามที่พนักงานสาวบอก ขึ้นไปก็พบกับ The Suntory Museum of Art ที่ดูหรูหรามาก และแน่นอน ค่าเข้าก็แพงมากด้วยจ้าา ดูอยู่ข้างหน้าก็พบว่าเป็นพวกงานศิลปะ แบบพวก เครื่องใช้ของญี่ปุ่น เลยคิดว่า โอเค เราดูอยู่ข้างหน้าแล้วกัน ว่าแล้วก็เตรียมตัวเดินทางไป เหลี่ยมที่ 2 กันต่อ เวลาผ่านไปนานพอสมควร เดินลงบันไดมา พบกับพนักงานสาวคนเดิม สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ เค้าจำเราได้ ! ยิ้นให้และโค้งให้ 1 ที ความรู้สึก VIP มีอยู่ทุกที่ใน ญี่ปุ่นจริงๆ แม้จะแค่เข้ามาเดินในตึกเฉยๆก็ตาม

ค่าเข้าแพง บัยยยละกันนะฮะ

        เดินออกมาจากตึก ก็พบกับ หินอีกก้อนแต่ก้อนนี้มีรู มีเด็กๆ เดินรอดรูไปมา หามุมเหมาะๆ กดซัก 1 รูป และเดินต่อ ข้างๆตึก Tokyo Midtown ก็จะมีตึกของ Fuji Square ที่แสดงผลงานจากล้อง Fuji ที่สวยโคตรๆ แต่เค้าไม่ให้ถ่ายรูป สมกับเป็นผู้ ผลิตฟิล์มที่โด่งดังมากในสมัยก่อนจริงๆ เดินไปอีกนิด ก็จะพบกับ ร้านราเมง ที่เราวางแผนว่าจะต้องมากินให้ได้ เนื่องจากฟังพี่ๆเล่ามาว่า ร้านนี้เป็นร้านที่ Yoshiki มือกลองวง X-Japan เคยกินมาแล้ว แต่เดี๋ยวก่อน เราจะวนกลับมากินอีกทีตอนจะกลับ เพราะยังไงก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่นี่อยู่แล้ว

งานศิลปะอีกชิ้นของเจ้าของเดียวกับหินอีกก้อนในตึก

        สิ่งที่การมาเที่ยวแบบทัวร์คงจะให้ไม่ได้ คือการที่เราได้ดูแผนที่และ เดินหลงไปหลงมา ได้หลง ตามที่หนังสือหลงบอกจริงๆ บางทีในแผนที่มีเส้นทางไป แต่เราไม่คิดว่าเส้นทางเหล่านั้น จะเป็นแบบนี้มาก่อน อย่างการเดิน บนทางที่ข้างๆ เป็นอุโมงค์ อะไรซักอย่างก็ไม่รู้ เป็นอะไรที่ไม่มีทางได้เห็นแน่ๆ ถ้าไปกับทัวร์ เดินๆๆๆๆ เดินกันไปเรื่อยๆ ที่นี่มีอะไรสวยเยอะไปหมด ตึกก็สวย บันไดก็สวย คนก็สวย ! เดินกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะ อากาศที่นี่มันน่าเดินจริงๆ เดินไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึง Tokyo national art center แต่ก็พบกับ Surprise อีกรอบนั่นคือ ปิดจ้า ผิดที่เราเองที่ไม่ดูว่าเค้าปิดวันไหนบ้าง  เลยได้ถ่ายรูปแค่ทางเข้าอีกแล้ว จบภารกิจ เหลี่ยมที่ 2 ของ Ropongi Hills 

ระหว่างทาง บางทีการเดิน ช้าๆ ก็ได้เห็นอะไรที่สวยงาม

อยากจะเดินไปทุกที่ที่ไปได้ อยากรู้ว่าทางข้างหน้าจะมีอะไรอยู่

อีกหนึ่งทางที่ไม่คิดว่าจะเจอในการเดินทางครั้งนี้

Tokyo national art center

และแล้วก็ได้ ถ่ายรูปข้างหน้าตึกที่ปิดอีกครั้ง T^T

        และสุดท้าย !!!! จุดพีคที่สุดของเราในวันนี้ ตึก Mori tower อีก 1 ที่จัดแสดงงานศิลปะ และเป็นที่ที่เปิดให้ขึ้นไปดาดฟ้า เพื่อถ่ายรูปวิวของโตเกียวได้ !!!! นี่แหละที่รอคอย และก็พลาดที่ไมไ่ด้เอาขาตั้งกล้องมา แต่ไม่สนแล้วววว รอไม่ไหวแล้ว เดินต่อไปจนถึงตึกระหว่างทางก็พบกับงานศิลปะตามที่ต่างๆ เช่น ตามกำแพง เป็นต้น เมื่อมาถึงตึก ก็จะพบกับสัญลักษณ์ ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าคือรูปปั้นรูปแมงมุม ที่ตั้งอยู่หน้าตึกนั่นเอง การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ ค่าใช้จ่ายหลักๆอีกอย่าง ก็คือการ ขึ้นตึกนี่แหละ ตึกไหนให้ขึ้นดาดฟ้า ขึ้นหมดครับ ที่ญี่ปุ่นพวกตึกทีเปิดให้ชมวิว ฟรีก็มี แต่ถ้าเป็นแบบเก็บตังค์ จะมี 2 ความสูงให้เลือกขึ้น ถ้าขึ้นแบบปกติก็จะ 2500 เยน แต่ถ้าขึ้นสุดลงสุดแบบเรา ก็จะเพิ่มไปอีก 1000 เยน เพื่อให้ไปถึงจุดสุดยอด! เอ้ยยย ไม่ใช่ เพื่อออกไปแตะขอบฟ้า !!!! เพราะตึกนี้แหละ เราจะได้เห็น Tokyo tower ตั้งเด่นเป็นสง่า อยู่ท่ามกลาง ป่าคอนกรีต ที่มีผลเป็นดวงไฟ ...

งานศิลปะแม้กระทั่งบนกำแพง

ภาพบางภาพ เงยหน้าขึ้นมาก็ชอบแล้ว

Landmark ของตึก Mori tower

จัดเต็ม ขึ้นทุกตึกที่ขึ้นได้จ้าาาา


       รอบนี้ออฟขอนั่งรออยู่ข้างล่าง เพราะเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่น เราจึงขึ้นไปคนเดียว บอกน้องว่าเด๋วอีกซัก 40 นาทีลงมาขอให้ฟ้ามืดกว่านี้หน่อย จะได้ถ่ายรูป Tokyo tower ตอนเปิดไฟกะว่า 5 โมงแล้ว อีกแปปก็คงมืด แต่ความจริง ไม่เคยเหมือนความรู้สึกครับ... ซื้อบัตร และเดินไปที่ลิฟท์ พบกับความประทับใจรอบที่ หนึ่งแสน ห้าพันสองร้อยยี่สิบหก พนักงานกดลิฟท์ ทำการกดลิฟท์ให้เราเดินออกมาจากลิฟท์เพื่อให้เราเดินเข้าไป และทำสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนในชีวิต หลังจากพูดอวยพรเราแล้ว เธอก็ทำการโค้งลงจนหัวแทบติดเข่า ทำอะไรไม่ถูกสิครับ จะบอกว่าไม่ต้องโค้งขนาดนั้นก็ได้ ก็พูดไม่เป็น ได้แต่ยืนนิ่งรอประตูลิฟท์ปิดไป แต่เธอก็ยังโค้งให้เราจนกระทั้งประตูลิฟท์ปิด อีก 1 ความ VIP ที่พบได้แม้กระทั่งตอนขึ้นลิฟท์ 

ระหว่างรอพระอาทิตย์ปิดไฟ

        ขึ้นไปสำรวจชั้นแรกที่ถึงเป็นห้องกระจกเหมือนกับ Tokyo sky tree ความสูงอยู่ในระดับที่เห็น Tokyo tower พอดีเป๊ะ เดินสำรวจซักแปป เลยคิดว่าขึ้นไปบนดาดฟ้าก่อนละกัน ค่อยลงมาที่นี่ จึงขึ้นลิฟท์ต่อไปที่ชั้นดาดฟ้า หรือที่เรียกว่า "Sky deck tempo" ที่นี่ต้องฝากกระเป๋า และทุกอย่างที่ไม่ใช่กล้อง ไว้ใน Locker ตามความคิดเราคิดว่า เค้าคงกลัวมันตก หรือ ทำหล่นลงไปข้างล่าง วิธีฝากก็ไม่ยากหยอดเหรียญ 100 เยนเข้าไป เราจะไขกุญแจได้ และเราก็เก็บของล็อคกุญแจ ขากลับก็เอากุญแจไข ได้เหรียญ 100 เยนคืนมา ที่ชั้นนี้ ยังมีงานศิลปะจัดแสดงอยู่ด้วย แต่ Tokyo tower ก็เรียกเราไม่หยุดหย่อน จึงรีบบึ่งขึนไปดาดฟ้าดีกว่า

ชั้นดาดฟ้า

        เป็นครั้งแรกที่เคยขึ้นมาบนดาดฟ้าตึกสูงแบบนี้ ตึกนี้เท่มาก มีพวกจานดาวเทียมใหญ่ๆอยู่ข้างบนด้วย มีพี่ รปภ. ยืนอยู่อีก 3 คน คงเอาไว้ป้องกันพวกทำอะไรแผลงๆ มีพนักงานถ่ายรูปและกล้อง Nikon ตั้งอยู่บนขาตั้ง ด้านที่หันไปหา Tokyo tower และสุดท้าย คือมีอากาศที่โคตรของโคตรหนาว พร้อมกับวิว ที่โคตรของโคตรสวย เวลานี้ อยากจะให้ Tower tower เปิดไฟเต็มที แต่ฟ้ายังไม่มืดซักที ขึ้นมาแล้วก็ขี้เกียจลง กะว่า อีกแปปคงมืด แต่อย่างที่บอก ความจริงไม่เคยเหมือนความรู้สึก 1 ช.ม. ท่ามกลางความหนาว นานมากๆๆๆๆๆ 6 โมงแล้ว ถ้าเป็นหน้าหนาวบ้านเรามันมืดแล้วนี่หว่า แต่นี่ยังครับบบ ยังไม่มืด ยืนรอกันต่อไป สำรวจมุมรอมือชาไปหมด นับถือพี่ตากล้อง กับพี่ รปภ มากๆ เพราะยืนกันชิลๆ แบบไม่กลัวหนาว กังวลว่าน้องจะรอนาน แต่ไหนๆ ขึ้นมาขนาดนี้แล้ว รอหน่อยนะ ขอหน่อยเถอะ มุมแบบนี้ไม่รู้จะหาได้อีกทีเมื่อไร

ที่จอด ฮอ และที่ที่ยืนรอ บางอย่างด้วยความใจจดใจจ่อ

        ผ่านไป ช.ม. กว่าๆ ในที่สุดฟ้าก็มืด และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือ Tokyo tower เวอร์ชันเปิดไฟ น้ำตาจะไหลลล ขอแชร์นะคะ ภารกิจในชีวิตจบไปอีก 1 อย่าง ท้องฟ้ายาม แสงช่วง Twilight สวยมากๆ ป่าคอนกรีต เริ่มประดับไปด้วย ไฟต่างๆ ช่างแตกต่างกับ 1 ช.ม. ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ยืนซึมซับบรรยากาศอยู่พักนึง จึงหาวิธี ถ่ายรูปโดยไม่มีขาตั้งกล้องให้ได้ วิธีก็ไม่ยาก แค่เอากล้องไปวางไว้บนขอบ ที่กั้น มองลงไปข้างล่างแล้วโคตรสูง เสียวมากครับ เพราะตอนนี้จะถึงจุดสุดยอดแล้ว ... แหม๊ หมายถึง เสียวกล้องตกมากครับ เพราะสูงมากๆ แต่ ณ เวลานี้ไม่สนแล้วครับ เอาสายคล้องคอพันมือไว้ แล้ววางกล้อง ตั้งเวลา shutter speed ประมาณ 15 วินาที ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ แชะ !!!!

โอ้วมายก๊อดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!!! นี่ฝีมือถ่ายรูปมีอยู่แค่นี้ รูปที่ออกมามันยังขนาดนี้ ต้องให้ Credit สถานที่สินะ ถ่ายมั่วๆแต่ออกมาสวยแบบนี้ น้ำตาจะไหลขอแชร์อีกรอบ ....

No comment !!!


ฟินนนนน !!!! นี่แหละข้ามน้ำข้ามทะเล เดินเป็น สิบกิโล รอฝ่าลมหนาวมาเป็น ช.ม. เพื่อรูปแบบนี้แหละ ถึงโตเกียวจริงๆแล้วโว้ยยยยย Tokyo Tower ของจริง !!!! ไม่ทำให้ผิดหวังเลยกดต่อรัวๆ จนเลนส์ 50MM งอแงง เพราะความหนาว ฟินพอแล้วจึงลงไปชั้นล่างเพราะบอกน้องไว้ว่าประมาณ 40 นาทีนี่ยาวไปเกือบ 2 ช.ม. ลงมาชั้นห้องกระจก ก็กดต่อไปอีกนิดหน่อย แต่ที่ชั้นนี้เค้าให้ใช้ ขาตั้งได้ ซึ่งอิจฉาพวกที่มีขาตั้งมากๆ อยากจะขอไปยืมใช้ซักแปป แต่พูดญี่ปุ่นไม่เป็น หึหึ คราวหน้าจะกลับมาพร้อมกับกล้องและเลนส์ตัวใหม่ มาล้างแค้นให้ได้ และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องพอ ทั้งๆที่อยากจะกดอีกซัก 100 รูป รีบลงไปดีกว่า ก่อนที่ร้านราเมงจะปิด 

No comment !!!

        ออกจากตึก เปิดแผนที่เพื่อกลับไปตึก Tokyo Midtown ก็มี Surprise ให้เห็นกันอีกรอบ เดินออกมาจากตึกปุ๊ป สิ่งแรกที่เห็นคือ ต้นไม้ที่พันไว้ด้วยหลอดไฟ LED ที่โคตรสวย ตอนแรกที่เห็นพวกหลอดไฟ บนต้นไม้ตอนยังไม่เปิด ก็ไม่คิดว่าตอนเปิดไฟมันจะสวยแบบนี้ ไม่อยากคิดว่าช่วงที่เป็นเทศกาล อย่างคริสมาสต์ หรือช่วงปีใหม่ แถบนี้จะคึกคักขนาดไหน เดินแบบ ฟินๆ กลับไปจนถึง เหลี่ยมแรก ที่เรามาถึง และก็แวะกินข้าวกันที่ร้านราเมงที่เล็งไว้ตอนแรก ร้านนี้ก็อร่อย อร่อยที่น้ำ และเส้น แต่พวกเครื่องยังไม่จัดจ้านเท่าไร แต่ก็ดับหนาว ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นได้

LED on the Tree

        แต่วันนี้เวลาก็ยังเหลือ ไปไหนดีล่ะ จากการดูแผนที่ พบว่าเราไม่ได้อยู่ไกลจาก Akihabara เท่าไรจึงตัดสินใจว่าจะไปเดิน Akihabara ยามค่ำคืนซักหน่อย และไปลองเดินหาเกมส์ ที่ออฟจะซื้อด้วย เอาไงเอากัน มาขนนาดนี้แล้วไม่อยากจะเสียเวลาซักวินาที ถ้ายังมีเวลา และ ขายังเดินไหว ก็ออกไปเดินให้ได้มากที่สุดดีกว่า 

ภาษาอะไร !






        Akihabara ยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบ เดินตระเวนตามหาเกมส์ กันทั่วแต่สุดท้าย ก็ไม่เจอเพราะเกมส์ดังและต้องการ Version USA ด้วยจึงหายากพอสมควร เปลี่ยนใจไปเดินเล่นทั่วๆ ก่อนกลับซื้อขนมกินสุดท้ายเหนื่อยพอละ จึงเดินทางกลับ จาก Akihabara สู่ Asakusa ถิ่นของเราเองซักที พร้อมกับจบภารกิจวันนี้แบบแทบจะเก็บได้หมดตามแผน กลับไปแช่น้ำอุ่นๆ ฟินๆ และเข้านอน.





วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

#6 Art in their mind 1

สวัสดีวันที่ 12 ก.พ. 2557

        หลังจากที่เขียนมาหลายตอน เขียนแบบ กลัวคนอ่านเบื่อบ้างไรบ้าง พยายามไม่ใส่รายละเอียดเยอะเท่าไรเพราะกลัวตัวหนังสือจะเยอะเกินไป แต่มานั่งคิดอีกที ที่เราบันทึกเรื่องการทัวร์ครั้งนี้ไว้ เพราะว่าเราไม่อยาก ลืม ประสบการณ์ ในการไปญี่ปุ่นครั้งแรก ที่แสนประทับใจนี้เอาไว้ คราวนี้เลย จะเขียนทุกสิ่งที่พอจำได้ เพื่อบันทึกไว้ในความทรงจำละกัน

        หลังจากที่ตะลุยกับโตเกียวมาหลายวัน มาถึงตอนนี้ก็เริ่มที่จะชินกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของประเทศนี้ ทั้งสภาพอากาศ และ วิถีชีวิตของคนเมืองนี้ เราได้รู้ว่า ถ้าเราตื่นเช้าเกินไปบางที ถ้าเราไม่ได้ไปตามสถานที่ท่องเที่ยว เราอาจจะหาข้าวกินได้ยาก วันนี้เราจึงเตรียม ซื้อ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แบบของประเทศต้นตำรับ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า มาม่า วันนี้มาถึงถิ่นกำเนิดของมาม่าแล้ว เลยต้องจัดซักหน่อย !

        สมกับเป็นประเทศต้นตำรับ ที่นี่มีมาม่าหลากหลายยี่ห้อมากๆ หลายรสชาติด้วย เสียดายที่เรามัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งอื่นๆมากเกินไป จนเราไม่ได้ถ่ายรูปมาม่าที่เราซื้อมากินซะงั้น เราซื้อมาม่า ยี่ห้อ นิชชิน สีแดง และ สีเหลือง ซื้อโดยไม่รู้ว่า มันเป็นรสอะไรด้วยซ้ำ เพราะ ซื้อตามที่พี่ที่ทำงานฝากเราซื้อ เค้าบอกว่า รสนี้อร่อย เราก็จัดเลย ไปร้าน "Lawson" หรือที่คนไทยเรียกว่า ร้าน 100 เยน ร้านนี้ห่างจากที่พัก ประมาณเดินไป 3 นาทีก็ถึง จัดมา 2 กระป๋อง ถูกๆ เผื่อไว้กินซัก 2 วัน

        วันนี้เราเลยตื่นสายกันซักนิด จากที่เหนื่อยมาหลายวัน และขึ้นไปทำมาม่ากินกันบนห้องครัวของ Hostel จากที่เรามากันหลายวัน แต่ยังไม่เคยขึ้นไปที่ห้องครัวเลย ขึ้นมาก็พบกับเครื่องใช้ ไฮเทคมากมาย ต้มน้ำ กับเตาไฟฟ้าเสร็จ ก็มี Staff คนนึงขึ้นมาทำข้าวกินเหมือนกัน เปิดตู้เย็นที่นี่จะมี อาหารฟรีด้วย เป็นบริการน่ารักๆ สำหรับผู้พัก

        ที่ห้องครัวนี้ ยังมีมุมน่ารักอีกหลายอย่าง เช่น มุม ทีวี มุมการ์ตูน ที่มีการ์ตูนญี่ปุ่นเต็มไปหมด มุมแผนที่โลก ที่ให้เราเขียนว่าเรามาจากประเทศอะไร มุมที่ให้เราเขียนบันทึกลงสมุดที่เค้าจัดไว้ให้ เปิดอ่านก็มีหลายชาติเข้ามาเขียน เหมือนเป็นการ ลงชื่อไว้ว่าได้มาที่นี่ บางเล่มก็ให้เขียนแนะนำว่า เราไปเที่ยวที่ไหนมา แล้วเราประทับใจ ก็เอามาแชร์ให้เพื่อนๆ ร่วมที่พักได้ตามเที่ยวบ้าง ถือว่าเป็นไอเดียที่เจ๋งมากจริงๆ

        นอกจากจะเป็นที่ทำกับข้าว ที่นั่งเล่น พักผ่อน มีระเบียงชมวิวแล้ว ที่ห้องครัวนี้ยังเป็นที่ทำกิจกรรมร่วมกันหลายๆอย่างของทางที่พัก เช่นการทำ ชาบู ทำขนม โดยจะจัด โดย Staff และมีตารางบอกที่ชั้น 1 ซึ่งเสียดายมาก ที่เรามีเวลาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เราเลยต้องใช้เวลาให้คุ้มที่สุด ออกไปข้างนอกทุกวัน คราวหน้าถ้าเราได้ไปอีก จะหาเวลาอยู่ทำกิจกรรมกับทาง Hostel ซักวันหนึ่ง

        ไหนๆ ก็พูดถึง Hostel เยอะขนาดนี้แล้ว จะไม่พูดถึงที่พัก ก็ออกจะยังไงอยู่เพราะเวลา เกือบครึ่งเรานอนอยู่ที่นี่ งั้นจะมาพูดถึง Hostel แสนน่ารักนี่หน่อยละกัน ตอนแรกเราจะไป พักที่ Khoasan Tokyo Original แต่ที่พักเต็ม เราจึงได้มาพักที่ Khoasan Tokyo Samurai แทน ซึ่งอยู่ที่ Asakusa เหมือนกัน แต่ห่างออกมาทางนอกๆ หน่อย ซึ่งก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ที่นี่เงียบสงบ มีมุมน่ารักๆ แบบที่เราอาจไม่เห็นถ้าเราไปพักใจกลางเมือง Staff น่ารัก เป็นกันเอง และ อยู่ใกล้ สถานีรถไฟ ร้านร้อยเยน และ วัด Sensoji

        ที่ Hostel นี้มองข้างนอกเหมือนจะเป็นตึกเล็กๆ แต่เข้าไปข้างใน จัดสรรปันส่วนเป็นอย่างดี สามารถบรรจุห้องได้ถึงประมาณ เกือบ 20 ห้อง มีทั้งห้อง สำหรับ 2 คน และ สำหรับ 4 คน(แบบ Dorm) ซึ่งห้อง 4 คนถ้าเราอยากได้เพื่อนชาวต่างชาติ เราอาจจองคนเดียวโดยห้อง 4 คนจะจัดไปรวมกับ เพื่อนๆคนอื่นที่จอง แบบ Dorm ก็ได้

        มาพูดถึงตัว Hostel ชั้้น 1 จะเป็น Office ของ Staff มีของตกแต่งน่ารักเยอะแยะไปหมด การเช็คอิน เช็คเอาท์ เช่าผ้าเช็ดตัว ก็จะสามารถทำได้ที่นี่ทั้งหมด เป็นห้องโถง สำหรับวางกระเป๋าก่อนเช็คอิน หรือ เช็คเอาท์แล้ว ออกไปเที่ยวก่อนถึงเวลาเครื่องออก ก็สามารถฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ได้ และมีคอมพิวเตอร์ ที่เน็ตแรงโคตรๆ ไว้ให้เล่น 2 เครื่อง มีทีวีโชว์ กิจกรรมต่างๆของที่พัก มีหนังสือให้อ่าน มีมุมเก็บรองเท้า และเปลี่ยนเป็น slipper ไว้ให้ มีห้องพักประมาณ 6 ห้อง มีห้องน้ำ 2 และ ห้องอาบน้ำ อีก 2 มีอ่างล้างหน้า พร้อมด้วย ไดร์ อีก 2 ในพื้นที่เพียงเท่านี้แต่สามารถแบ่งได้ขนาดนี้ ต้องขอนับถือ เค้าจริมๆครัชช สุดยอดดด

ที่ Office ของ Staff มีการบอก พยากรณ์อากาศ แบบเวอร์ชั้น คาวาอี้ ครับ

        ชั้น 2 นั้นจะเป็นห้องพักทั้งหมด น่าจะมีซัก 10 ห้องได้ครับ มีห้องน้ำ และ ห้องอาบน้ำ พร้อมเช่นกัน ต่อมาชั้น 3 เป็นที่พักและ ห้องครัว ซึ่งเราได้พูดถึงห้องครัวไปเมื่อตอนแรกแล้ว เสียดายอีกแล้ว ที่เราไม่ได้ถ่ายรูปในที่พักมาเลย อาจเพราะเห็นว่า อยู่ที่นี่ตลอด จะถ่ายตอนไหนก็ได้ เลยลืม ไปคราวหน้า ไม่มีพลาดจ้าาาาา ชั้น 4 เป็นที่พัก และมีระเบียงออกไปสังสรรค์กันได้ เห็นวิว Tokyo sky tree เป็น Background อยูู่ไกลๆ และสุดท้าย ชั้นดาดฟ้า จะเป็นที่ซักผ้า อบผ้า ถ้าเราไม่อยากขนของมาเยอะ เอาเสื้อผ้ามาพอใช้ซัก 3 วันแล้วเอามาซักก็ได้เช่นกัน ระบบการทำงาน ไฮเทคเช่นเคย เช่น ไฟที่เปิดเองเมื่อมีคนเดินมา เจอตอนแรก โคตรตกใจ เพราะเราเอาผ้าไปซักตอนเกือบ 5 ทุ่ม เดินไปมืดๆ อยู่ๆไฟติดเอง แทบช็อค จ้าาา เล่นไรไม่บอกกันเลยยยย

        สำหรับที่พักเราก็จะเป็นแบบนี้ เล็กๆ อบอุ่น เจอเพื่อนร่วมที่พัก ก็ทักทายกัน จนเราอยู่ที่นี่จะชินมากกับการเจอหน้ากัน แล้วต้องทักทายกันซัก 1-2 ประโยคเสมอ Staff พูดอังกฤษได้ ให้ช่วยอะไร เต็มที่สำหรับการช่วยเหลือเราเสมอ ถ้าเทียบกับการพักโรงแรม อาจไม่สะดวก สบายเท่า เพราะเราอาจจะต้องทำอะไรเองหลายๆอย่าง แต่รับรองว่า มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ไม่แพ้โรงแรมที่แสนสบายเลยครับ ถ้าเปรียบเทียบเป็นการทำอาหาร โรงแรมคงเป็นการไปกินร้านอาหารหรูๆ Hostel คงเป็นการซื้อของมาทำกับข้าวกินกันเอง แม้จะลำบากบ้างนิดหน่อย แต่ก็มีความสุขครับ พูดซะเหมือนลำบากมาก จริงๆ ไม่ได้ลำบากไรเลยครับ แค่ทำอะไรด้วยตัวเองบ้างนิดหน่อยเท่านั้น

*******************************************************************************

        มาต่อกันที่เรากินมาม่า กินมาม่ากันไป นั่งเปลี่ยนช่องทีวีดูไปเรื่อยกินกันเสร็จแล้วเราก็มาดูตารางของวันนี้กัน ว่าเราจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง


ตามตารางวันนี้เรากะจะกินข้าวเช้ากันที่ร้าน Tendon Tenya แต่เรากินกันไปตั้งแต่วันแรกที่ถึงญี่ปุ่นแล้ว เราเลยเปลี่ยนมากินมาม่า กันแทน เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปที่ Ueno Park เราก็ขึ้นรถไฟ โดยขึ้นจาก สถานี ________ ไปที่ สถานี ________ เมื่อเดินทางไปถึง Ueno แล้ว สิ่งที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ ที่โด่งดังปรากฏในหนังสือนำเที่ยวหลายๆเล่ม คือ ตลาด Ameyoko เป็นตลาด ที่ขายของหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นของสด เสื้อผ้า ยาสระผม ขนมต่างๆ บ๊ะจ่างอันใหญ่ ไปจนถึง ร้าน 18+ (บ๊ะจ่างนั่นไม่ใช่ละ หาคำคล้องจองไม่ได้ เลยใส่ไปงั้นๆ) ที่นี่ของกินราคาไม่แพง ร้านข้าวราคาถูก แต่เรากินกันมาแล้ว เลยเดินทัวร์ซะหน่อย

ของสดที่ตลาด อเมโยโกะ ปลามึกสดๆกันเลยทีเดียว

เจอรายการมาถ่านทำ แอบยืนดูอยู่นาน เผื่อจะติดกล้องเค้าได้ออกทีวีที่ ญี่ปุ่นบ้าง


มีทุกอย่างไม่เว้นร้าน 18+

ร้านข้าวแถบนี้มีเยอะมากครับ และราคาไม่แพงซะด้วย

ใกล้กันกับ ตลาด อาเมโยโกะ ก็จะมีตึกม่วง Takeya ที่ขายของพวกของฝาก เช่น ขนมต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งหาได้ไม่ยากเพราะ ม่วงซะขนาดนั้น
คนไทยเรียกตึกนี้ว่า ตึกม่วง อื้มมม สมชื่อจ้า

เนื่องจากคนไทยมาซื้อของกันเยอะเหลือเกิน เค้าจึงอำนวยความสะดวกให้เราโดยมีภาษาไทย อธิบายให้ด้วย แต่ เอ๊ะ มันแปลกๆนะ ลองดูนะครับ ภาพนี้มีอะไรแปลกๆ

วันนี้เราไม่ได้กะจะมาซื้อของฝากอะไรเท่าไร เราจึงไปตามที่ตั้งใจไว้คือไป Ueno Park ก่อนไปถึง ก็จะมีอีกสถานที่ที่ ในหนังสือ แนะนำไว้คือตึก Ueno 3135 ไม่รู้ที่มาของชื่อเหมือนกัน แต่ไม่มีอะไรมาก เราเลยไม่ได้ไปเดินทัวร์ เนื่องจากเสียเวลาไปเยอะแล้ว แวะ Family mart ซื้อขนมกิน ที่นี่ เราจะพบร้าน Family mart ได้ทั่วไปเหมือน 7-11 ของบ้านเรา ซื้อมันฝรั่งกับ Hotdog มากิน อื้มมม อร่อยดี ตามมาตรฐานของที่นี่

ตึก Ueno 3135 ที่ไม่ได้มีอะไรเท่าไร มีร้านอาหาร ห้างอะไรแบบนี้มากกว่า

        มาถึงสวน Ueano แบบงงๆ เดินขึ้นไป ไม่มีเป้าหมายอะไรเท่าไร เน้นเดินชมสวนถ่ายรูปไปเรื่อย ตามที่กะไว้ในตารางแผนข้างบน สวนร่มรื่นสวยงาม ถ้าเป็นช่วงซากุระบานคงคึกคักกว่านี้ ฟ้าวันนี้ เริ่มเปิดเพราะหิมะเริ่มละลายหมดแล้ว ชมวิวไปเรื่อย ๆ ตามรูปเลยละกันนะครับ


ทางขึ้นสวน

ร้านอาหารบนสวน

ศาลเจ้า ซึ่งเจอโดยบังเอิญ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อครับ

สิ่งที่เซอไพร้ คือเดินลงมาจากศาลเจ้าจะเป็นทางเดินกว้างๆ มีต้นไม้อยู่ตรงกลาง มีต้นไม้อยู่ 1 ต้น ที่มีดอกไม้บาน โอ้ววว มายยย ก๊อดดด สิ่งหนึ่งที่อยากทำตอนไปญี่ปุ่นคือ ได้เห็นซากุระ แต่เอ๊ะ ต้นนี้ใช่ซากุระมั้ยนะ เอาน่ะ เราเหมาว่าเป็น ซากุระละกันนะ กี๊สสสสสสส ไม่คิดว่าจะได้เจอนะ ซากุระ เรากะจะมาหาเธออีกรอบ ตอนหน้าร้อน แต่เธอก็ได้เจอกะเราก่อนนะ แม้จะมีต้นเดียวก็เถอะ >.<

จากการอ่านหนังสือหลายๆเล่ม เค้าบอกว่า ตามสวนสาธารณะ จะมี Show เปิดหมวกเจ๋งๆ ซึ่งมาคราวนี้เราก็ได้เจอเหมือนกัน

เด็กๆ มาทัศนศึกษาครับ และมีสวนสัตว์ อยู่ในสวนนี้ด้วย

ศาลเจ้า มีที่ที่ดังๆเรื่องเสาสีแดงแบบนี้ แต่เราไม่ได้ไป ก็เอาที่นี่แก้ขัดไปก่อนละกันนะ

ศาลเจ้าที่เราไม่รู้จักชื่ออีกแล้วจ้า

Japan Style ล้วนๆเลยนะครัช แถวนี้
เดินชมวิวกันไปเรื่อย ก็ต้องหาจุดหมายเพื่อไม่ให้เค้วงกันหน่อย จากแผนแล้ว เดินไปอีกฝั่งของสวนจะเป็น Zone เมืองเก่า คือ Sendagi , Nezu , Yanaka และ เรายังพบว่า มีโรงเรียน มัธยมอยู่แถวๆนี้อีกด้วย สังเกต จากที่มีนักเรียน ในชุด ม.ปลายเดินมาหลายคนอยู่ เราจึงตัดสินใจกันว่า มาญี่ปุ่นทั้งที โรงเรียนนี่แหละ อีกหนึ่งที่ที่เราจะต้องไปเห็นด้วยตาให้ได้ ไหนจะชุด นักเรียน ไหนจะชุดพละแบบในการ์ตูนล่ะ ! เอ้ยยย ! ไม่ใช่ !! เราจะได้ไปดูโรงเรียนที่เราอ่านตาม Manga สินะว่าจะเป็นยังไง อยากเห็นเหลือเกิน แหม๊

สถานที่เราคิดว่า น่าจะเป็นโรงเรียน แต่ประตูมันปิดครับ เราเห็นสะพานด้านบนซ้าย โยงไปที่โรงเรียน เราคิดว่า นั่นแหละ หนทางของเรา เราจึงเดินขึ้นไปทางซ้าย เพื่อตามล่าหา โรงเรียนกันจ้า
แต่สิ่งที่เราคิดไม่เป็นเช่นนั่นเมื่อเราหลงขึ้นไปด้านบน เราพยายามเบี่ยงมาทางซ้ายให้ได้มากที่สุด แต่มันเป็น ศาลเจ้า และ สวนสัตว์ครับ ทำไงก็ออกไปทางซ้ายไม่ได้ซักที จะเดินกลับก็เดินมาไกลแล้ว เราจึงตัดสินใจเดินหน้ากันต่อไปเรื่อยๆ เดินไปเดินมาเราเดินแทบครบเลยโดยไม่รู้ตัว

ผ่านเข้ามาในศาลเจ้า ที่ไม่รู้ชื่อ อีกแล้ว แบบ งงๆ แต่สวยงามมาก

ศาลเจ้าที่ไม่เคยจะรู้ชื่อ

มีเครื่องรางขายด้วย 

พอเห็นคนขายน่ารักเท่านั้น ซื้อเลย !!!

ในสวนนี้ใหญ่ขนาด บรรจุ พวก Museum ไว้หลายแห่ง และ ยังมีสวนสัตว์ ศาลเจ้าอีกมากมาย

สถาปัตยกรรมสวยๆ
เราเดินกันไปกันมา พยายามหาทางไปโรงเรียนมัธยมให้ได้ เจอนักเรียนก็หลายคนแล้ว แต่เอ๊ะ ทำไมมันไม่เจอซักทีนะ Map มันหลอกเราแน่ๆ เดินหน้าไปเรื่อยๆ สู้ต่อไปไอ้มดแดง !!! เดินไปเดินมาเปิด Google Map เพื่อนสุดรักของเรายามอยู่ต่างประเทศ พบว่า เราได้เข้ามาทาง Zone เมืองเก่าเรียบร้อยแล้ว 

        Orz ไม่นะ ชุดนักเรียนที่เรารอคอย เอ้ยยยย !!! โรงเรียนที่เรารอคอย เราคงจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วใช่มั้ยย เห้ยนั่นนน นักเรียน ญ ม.ปลาย ในชุดกะลาสี ขอถ่ายรูปเลยมั้ยล่ะ ไหนๆ ก็ไม่เจอโรงเรียนแล้ว (ความคิดในหัว แล่นไปมาอย่างไว) มองออกไปรอบๆตัว จาก สวนสาธารณะ ก็กลายมาเป็นเขตที่อยู่อาศัยเสียแล้ว แต่ภาพที่เห็น ก็ทำให้นึกถึงการ์ตูนหลายๆเรื่อง เช่น Doraemon เป็นต้น 

        อาาาาาาห์ นี่มันเมืองแบบที่เราเคยเห็นในการ์ตูนเลยนี่นา โหยย มันช่างฟินอะไรแบบนี้ เป็นความบังเอิญที่เราเดินมั่วๆ มาจนเจอ เมืองเหล่านี้ เดินไปฟินไป แปลกใจว่าทำไม เมืองเค้าถึงสวยจัง ทั้งๆที่ก็มีเสาไฟฟ้า มีสายไฟระโยงระยางเหมือนบ้านเรา คงเพราะเป็นความคุ้นเคยที่เคยเห็นในการ์ตูนแหละมั้ง...


คุณตาคุณยายรอข้ามถนน รถว่างก็รอจ้า มีระเบียบมากๆ

บ้านแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น สวยมวาก

เดินตะลุยไปตามชุมชน

วิว ระหว่างทาง

บ้านทรงแปลกๆ ที่แต่ละบ้าน สร้างไม่เหมือนกันซักหลัง แต่มันกลับเข้ากันอย่างประหลาด

ป้ายบอกความเร็วบนถนน

ศิลปะบนฝาท่อ

โซนเมืองใหม่ 

การจอดรถในพื้นที่น้อยๆ

นานๆจะได้ถ่ายรูปกับน้องที่มาด้วยกัน

คิดว่าน่าจะเป็นตู้บริจาคหนังสือ ในสถานีรถไฟใต้ดิน

เราเดินตะลุยไปทั่วแล้วก็พบกับ โรงเรียนที่ Google Map บอกเรา ปรากฏว่ามันเป็นโรงเรียน อนุบาล ฮ่าๆ ตามหากันมานาน สุดท้ายก็ได้เจอแล้วจ้าาาา โรงเรียนนน น่ารักฝุดๆ หลังจากนั้นเราเลยขึ้นรถไฟ ที่สถานี ______ ซึ่งอยู่แถวๆเมืองเก่า เพื่อเดินทางไปกินอาหารกลางวันที่ สถานี Ningyocho 

        ตอนนี้คงต้องแบ่งเป็น 2 Part หากจะเขียนแบบละเอียด เนื่องจาก ยาวเกินไป ถ้าจะบรรจุ บันทึกของทั้งวันนี้ไว้ในตอนเดียว หลังจากนี้เราจะไปที่ Ropongi ศูนย์รวม ศิลปะ มากมาย ที่อะไรๆ ในเมือง ก็ออกจะเป็นศิลปะตามไปด้วย


つづく.